วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพ เขียนโดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค

 โดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค

        ในสากลจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์มากมาย เหนือความสามารถของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ที่จะรับรู้ได้ นอกจากบุคคลที่มีจิตมั่นคง มีอำนาจสมาธิ จึงจะรับรู้สิ่งอัศจรรย์ที่มีอยู่ในสากลจักรวาล 

       การให้ผู้ป่วยเรียนวิชานี้เพื่อชำระ ล้าง เปรียบเหมือนทุกคนมีเครื่องจักรอยู่ในตัวขับเคลื่อนมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งควรให้ความสนใจดูแล ทำอย่างไรจึงจะทำให้ภายในร่างกายของเราสมดุล วิชาพลังกายทิพย์ที่สอน 6 วัน จะสอนธรรมชาติในจักรวาลกับธรรมชาติในกายมนุษย์ พลังสำคัญรอบตัวเราที่เรียกว่า พลังคอสมิค ซึ่งหากได้เรียนรู้แล้วก็จะสามารถนำพลังคอสมิคออกมาใช้บำบัดรักษาโรคได้


พลังคอสมิคมี ความแรงมากเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่รอบกายมนุษย์ หากฝึกวิชาพลังกายทิพย์แล้วก็สามารถที่จะรับพลังคอสมิกให้เข้ามาสู่ร่างกาย ตามตำแหน่งจักระทั้ง 7 แห่ง จักระสามารถเปิดรับพลังคอสมิครอบๆ ตัวเราเข้าสู่ร่างกาย นำไปพัฒนาจิต พัฒนาร่างกายที่เจ็บป่วยให้หายได้อย่างมหัศจรรย์
พลังคอสมิคทั้ง 7 สี คือ สีแดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า คราม ม่วง เมื่อรวมกันแล้วเป็นสีขาว Spectrum ซึ่งเห็นเสมอในระบบจักรวาลคือ สีของสายรุ้ง สีเหล่านี้เป็นตัวยาทั้งสิ้น จักระมนุษย์จะเปิดหมุนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยปิด จะหมุนเร็วช้าอยู่ที่การปฏิบัติตัวของมนุษย์ จักระในร่างกายมนุษย์ มี 7 แห่ง
จักระที่ 1 มี 4 เส้นแสง สีแดง ชื่อ มูลลัดดา เป็น รากฐานของระบบจักระ ตั้งอยู่ที่ระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์กับทวารหนัก จักระนี้เป็นพื้นฐานของพลังชีวิต และเป็นกลไกที่จะทำให้ชีวิตอยู่ได้ จักระนี้ทำหน้าที่ดูดซับพลังคอสมิคที่พุ่งขึ้นมาจากใจกลางโลกตลอดเวลาเพื่อ ทำงานร่วมกับจักระที่ 2
จักระที่ 2 มี 6 เส้นแสง สีส้มสด ชื่อ สวัสดิ์ธนา ตั้ง อยู่ที่ปลายกระดูกสันหลังใต้ก้นกบ เป็นจุดศูนย์กลางเกี่ยวกับพลังงานทางเพศ มีหน้าที่ดูดซับพลังที่ได้รับจากดวงอาทิตย์มาเก็บไว้ และกระจายพลังที่ได้รับจากดวงอาทิตย์ ตรงกับต่อมเพศ (Gonads)
จักระที่ 3 มี 10 เส้นแสง สีเหลือง ชื่อ มณีปุระ ตั้ง อยู่ที่บริเวณสันหลังบริเวณเอวระดับที่ตรงกับสะดือ เป็นที่เก็บพลัง เป็นคลังมหึมาของพลังเหมือนเตาปรมาณู ดูแลส่งพลังให้เลื่อนขึ้นไปตรงกลางอก จักระนี้เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารทั้งหมด ผลิตเม็ดโลหิต ตรงกับต่อมหมวกไต Adrenal gland จักระนี้ควบคุมอวัยวะใน ท้อง ตับ กระเพาะ และ ลำไส้
จักระที่ 4 มี 12 เส้นแสง สีเขียว ชื่อ อนัตตา ตั้ง อยู่ที่ตรงกลางกระดูกสันหลังระดับที่ตรงกับหัวใจ เป็นศูนย์รวมของความรัก การพัฒนาจิตใจ ความเมตตา กรุณา และความเสียสละ จักระนี้ควบคุม หัวใจ เส้นเลือดหัวใจ ควบคุมไขมันในเส้นเลือด ตรงกับ Thymus gland จักระนี้ควบคุม หัวใจ และระบบหมุนเวียนของโลหิต
จักระที่ 5 มี 16 เส้นแสง สีฟ้า ชื่อ วิสุทธิ ตั้ง อยู่ที่บริเวณตรงกระดูกต้นคอระดับตรงกับคอหอย เป็นจักระที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ หอบหืด โรคที่เกี่ยวกับผิวหนัง ตรงกับ Thyroid gland จักระนี้ควบคุม ปอด
จักระที่ 6 มี 96 เส้นแสง สีไพลิน (น้ำเงิน) ชื่อ อัจนา ตั้ง อยู่ที่กลางหน้าผาก เป็นจักระที่เปรียบเสมือนดวงตาของปัญญา จักระนี้ใช้เป็นดวงตาที่สาม และ พาหนะแห่งญาณวิเศษสำหรับการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ตรงกับ Pituitary gland จักระนี้ควบคุม สมองส่วนล่าง และ ระบบประสาท
จักระที่ 7 มีทั้งหมด 972 เส้นแสง ตรงกลางเป็นสีทอง มี 12 เส้นแสง รอบๆ คลุมด้วยเส้นแสงสีม่วง 960 เส้นแสง ชื่อ สหัสรา ตั้ง อยู่ที่กลางกระหม่อม เป็นจักระที่เปรียบเสมือน มงกุฎดอกบัว เป็นศูนย์ควบคุมทุกจักระในร่างกาย เป็นสถานที่รับพลังคอสมิค และกระจายไปทั่วร่างกาย เป็นจุดที่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วย ซึ่งจักระอื่นๆไม่สามารถจะรักษาได้โดยตรง เป็นฐานใหญ่ของมนุษย์ ทุกครั้งที่กำหนดจิตอยู่ที่จักระที่ 7 จะทำให้จักระที่ 7 นี้ หมุนเร็วขึ้น และจะทำให้จักระอื่นๆในร่างกายหมุนตามด้วย จักระที่ 7 ตรงกับ Pineal gland จักระนี้ควบคุมอวัยวะสมองส่วนบน ระบบประสาท ระบบโครงสร้าง ระบบหมุนเวียนทั่วร่างกาย Pineal gland ที่จักระที่ 7 เชื่อมต่อกับ Hypothalamus คือ สถานีเรดาร์ คอยแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้นในร่างกาย และเป็นตัวสั่ง Hypothalamus ให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในร่างกายมนุษย์ มีเชื้อโรคอะไรแอบเข้ามาก็จะสั่งไปที่ต่อมใต้สมอง ต่อมใต้สมองก็จะสั่งให้ต่อมของร่างกายในส่วนนั้นไปต่อต้าน และ จะสั่งเม็ดเลือดขาวไปจัดการกับเชื้อโรคดังกล่าว ในสมองมนุษย์มีเส้นประสาท 12 คู่ เส้นประสาทที่ ASTRARA ยกย่องมาก คือ คู่ที่ 10 เรียกว่า Vagus Nerve เป็นคู่ที่สำคัญที่สุด
ปัจจุบัน มีหน่วยงานที่เห็นความสำคัญของวิชาพลังกายทิพย์ คือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้จัดให้คณะของคุณย่าเยาวเรศไปสอนวิชาพลังกายทิพย์ให้แก่พนักงานขององค์กร ดังกล่าว โดยมีการสนับสนุนให้เปิดการสอนไปแล้วหลายรุ่น ทำให้งบประมาณค่ารักษาพยาบาลของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคลดลงได้
มีการยกตัวอย่างผู้ป่วยที่ได้รับผลดีจากการรักษาด้วยพลังกายทิพย์ 2-3 ตัวอย่าง
 นางจุฑา ลิ้มสุวัฒน์ บันทึกรายงาน

พลังคอสมิค
ค.ศ.1925 โรเบิร์ต เอ มิลิแคน นัก ฟิสิกส์จากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย ค้นพบ รังสีคอสมิค และ สันนิษฐานว่าดวงดาวชื่อ พัลซาร์ ใน เนบูลารูปปู เป็นต้นกำเนิด เนื่องจากมันกระพริบส่งพลังงานเหมือนกับเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในจักรวาล
รังสีคอสมิค เป็น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีช่วงคลื่นสั่นแรงกว่า รังสีแกมม่า องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นโปรตอน 90% และ พบอิเล็กตรอน อนุภาคแอลฟ่า 9-10 Herzt ด้วย จึงมีทั้งขั้วบวก และ ขั้วลบ หมุนเวียนวิ่งวนเป็นคู่ ล่างบน ซ้ายขวา หน้าหลัง สะท้อนกระจกเงาได้ มีคุณสมบัติเหมือนพลังงานอื่นๆ แต่เข้มข้นกว่า ปริมาณมากกว่า หนาแน่นกว่า พบได้ในทุกชั้นบรรยากาศของโลก สามารถซึมซับ ทะลุทะลวงผ่านสรรพสิ่ง เครื่องกีดขวางไปได้ทุกแห่ง รังสีนี้แผ่กระจายจากนอกโลก รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังแสงอาทิตย์ บางส่วนผ่านดวงดาวต่างๆ จึงดูดซับแร่ธาตุแสงสีต่างๆ พุ่งเข้าสู่ใจกลางโลกด้วยความเร็วและความถี่มากกว่าแสงอาทิตย์ 10 เท่า และสะสมเป็นวงล้อมเปลือกโลก สูงจากพื้นดิน 15,000 เมตร ซึมซับเข้าไปในสรรพสิ่งต่างๆสะสมอยู่ในทั้งสิ่งไม่มีชีวิตและมีชีวิตบนโลก แร่ธาตุ พืช สัตว์ และ มนุษย์
รังสี นี้เกิดจากการที่ดวงอาทิตย์ สุริยจักรวาล และ จักรวาลทั้งหมดเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีการไหลเวียนไปทั่วทั้งจักรวาล รวมเรียกว่า พลังงานชีวิต
รังสี คอสมิคมีปริมาณเปลี่ยนแปลงตามสภาพอากาศ มีมากที่สุดในแสงแดดตอนเที่ยงวัน มีลักษณะเป็นพยับแดด แวววาว ระยิบระยับ เป็นแสงสีทอง มองเห็นด้วยตาเปล่า บนท้องฟ้ารังสีจะแยกชัดเจน หลังฝนตกมองเห็นเป็น สีรุ้ง 7 สี สีแดงจากพลังคอสมิคให้พลังมากที่สุด เป็นพลังงานที่จะปรับทุกอย่างให้มีความสมดุล
มนุษย์ รับรู้การเคลื่อนไหลของพลังชีวิตด้วยประสาทสัมผัสภายนอก คือ ตา หู จมูก ลิ้น และ กาย และ สัมผัสละเอียดภายใน คือ จิต เพียงแต่มนุษย์ได้ปล่อยปละละเลยความละเอียดภายในกายและจิต ทำให้อ่อนล้าเสื่อมสลายไปเกือบหมด คนที่มีพลังสมาธิจิตสามารถควบคุมและนำส่งพลังคอสมิคไปที่เป้าหมายได้ทั้ง ใกล้และไกล ทั้งในทางสร้างสรรดีงาม หรือ ในทางชั่วร้าย พลังจะย้อนกลับมาที่ผู้ใช้ 3 เท่า พุ่งออกจากทุกส่วนของร่างกาย สัมผัสได้โดยเฉพาะทางฝ่ามือและปลายนิ้วมือ รังสีนี้สามารถปรับอาการผิดปกติ หรือ การเสียสมดุลของอวัยวะในร่างกายคนและสัตว์ได้ (Healing Power)
การทดสอบพลังคอสมิคในร่างกาย ศาสตราจารย์ นพ.ชิน บูรณธรรม กล่าวว่าคนทั่วไปอาจทดสอบได้ดังนี้
1. ลองเอานิ้วชี้ของมือข้างหนึ่ง จี้ตรงใกล้ๆฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง (อย่าให้ชิด) จะรู้สึกว่าเกิดความรู้สึกซู่ซ่าขึ้น ณ จุดนั้น และเมื่อเราวนปลายนิ้วชี้นั้นเป็นวงกลม ก็จะรู้สึกซู่ซ่าไปตามแนววงกลม
2. เอาปลายนิ้วทั้ง 2 ข้างมาจ่อชนกัน แล้วแยกห่างออกมา เข้าๆออกๆ จะมองเห็นคล้ายฝ้าของไอน้ำสีน้ำเงินอ่อน วิ่งเป็นเส้นระหว่างนิ้วนั้นๆ และถ้ารวบนิ้วของแต่ละมือมาชิดกันแล้วมองภาพอะไรก็ได้ ผ่านทางช่องนิ้วของมือทั้ง 2 จะเห็นภาพนั้นมัวๆคล้ายผ้าไอน้ำมาบัง (อย่ามองย้อนแสง)
3. ลองเอาฝ่ามือทั้ง 2 ข้าง เข้ามาใกล้กันที่สุด แล้วแยกห่างราว 4-5 นิ้ว เข้าๆออกๆหลายๆครั้ง ในที่สุดลากเข้าให้ชิดกันอีกจะรู้สึกว่ามีแรงต้านเกิดขึ้น
พญ.กานดา ปัจจักขะภัติ รายงาน
ที่มา : การบรรยาย เรื่อง “พลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพ” โดย คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค ณ ห้องประชุมเบญจกูล สถาบันการแพทย์แผนไทย วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2546 เวลา 10.00-12.00 น.


ประวัติวิทยากร
คุณย่าเยาวเรศ บุนนาค เป็นผู้ก่อตั้ง สมาคมสถาบันพลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพได้ดำเนินการสอนมาแล้ว 8 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2538 อบรมลูกศิษย์ไปแล้วประมาณ 50,000 คน ก่อตั้งเป็นสมาคมเมื่อ พ.ศ.2544 วัตถุประสงค์ในการก่อตั้งสมาคมเพื่อการรักษาโรคร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่ประชาชนโดยไม่คิดค่าวิชา สมาคมได้เปิดอาคารที่ทำการของสมาคมเป็นที่บำบัดรักษาโรค โดยใช้อำนาจสมาธิและอำนาจพลังธรรมชาติมาช่วยบำบัด สอนวิชาพลังกายทิพย์ในระดับปฐมจักระใช้เวลา 6 วัน ซึ่งผู้ที่เรียนจบแล้ว หากนำวิชาที่ได้เรียนไปฝึกต่อไปทุกวันก็จะทำให้มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บเล็กๆน้อยๆของตน ตลอดจนบุคคลในบ้านและเพื่อนบ้านได้
 
 
 

ที่มา http://www.thaicam.go.th

ธรรมชาติบำบัด




ธรรมชาติบำบัด
เขียนโดย Mr.Jacob Vadakkanchary
 


        ธรรมชาติบำบัด  คือ การดูแลรักษา กาย ใจ โดยขบวนการธรรมชาติ ตั้งอยู่บนหลักว่าโรคทุกชนิด ทั้งร่างกายและจิตใจของคนเรา สามารถเยียวยารักษาตัวเองได้ ถ้าร่างกายอยู่ในสภาพสมดุลปกติ โรคร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นจำนวนมาก เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจตีบตัน ภูมิแพ้ หืดหอบ ฯลฯ เกิดจากการดำเนินชีวิตที่ผิดธรรมชาติ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ และ รับประทานอาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อน เช่น เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงด้วยฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ยาปฏิชีวนะ หรือ รับประทานยาหรือฉีดยาที่ทำจากสารเคมี สารเหล่านี้จะตกค้างอยู่ในร่างกายมาก หรือการใช้ชีวิตที่เครียดเกินไป หักโหมเกินไป กังวลเกินไป ออกกำลังกายไม่เพียงพอ พักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้น การดูแลสุขภาพของคนเราจะเน้น เรื่องอาหาร การรับประทานอาหารที่ดีก็จะทำให้มีสุขภาพดี สุขภาพของคนขึ้นอยู่กับ พฤติกรรมของการรับประทานอาหาร Bacteria ไม่มีผลทำให้เกิดโรคต่อร่างกาย การเจ็บป่วยของคนล้วนเกิดจากอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนที่คนเรารับประทานเข้า ไป เรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นเรื่องของธรรมชาติที่ต้องเรียนรู้

 

    ขบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย มี 4 ทาง คือ ทางจมูก ทางเหงื่อ ทางปัสสาวะ และ ทางอุจจาระ คนเราควรหมั่นหายใจลึกๆ จะได้อากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอด เพื่อนำออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย และควรตากแสงแดดอ่อนๆ ทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น เพื่อดูดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีดูแลรักษาสุขภาพอย่างง่ายๆ ที่คนทั่วไปสามารถปฏิบัติได้ ในเวลาที่คนมีอาการเจ็บป่วยร่างกายจะเสียสมดุล ถ้าจะแก้ไขให้สมดุลก็ต้องปรับสภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ร่างกายมีกลไกกำจัดสารพิษอยู่ในตัวเอง เช่น เวลาไอ จาม หรือ มีผื่น วิชาธรรมชาติบำบัด อธิบายว่าไม่ใช่อาการป่วยเป็นโรค แต่ร่างกายกำลังทำความสะอาดตัวเองตามธรรมชาติ เวลามีสารพิษเข้าไปในปอด ร่างกายก็จะจาม การจามแรงๆเป็นการขับพิษออกจากร่างกาย ซึ่งธรรมชาติก็ช่วยขับพิษอยู่แล้ว การรับประทานยาแก้ไอ จะทำให้ร่างกายไม่สามารถขับสารพิษออกมาได้ การที่เราเป็นไข้ก็เป็นขบวนการทำลายเชื้อโรค เมื่อมีอาการเจ็บคอ อาการไอ ก็ให้ใช้วิธีธรรมชาติบำบัด เวลามีอาการท้องเสีย วิชาธรรมชาติบำบัดอธิบายว่า เป็นการทำความสะอาดของร่างกายครั้งใหญ่ การถ่ายให้หมดจะช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย แต่คนเราไม่เข้าใจธรรมชาติ นึกว่าท้องเสียเป็นอาการของโรค ก็เลยไปซื้อยามารับประทานให้หยุดถ่าย อาการท้องเสียหยุดทันที ทำให้อาหารปนเปื้อนสารพิษที่รับประทานเข้าไป ซึ่งร่างกายต้องการขับออก แต่เราไปรับประทานยาให้หยุดถ่าย ทำให้ร่างกายกักสารพิษเอาไว้ ซึ่งไม่ถูกต้อง วิธีที่ถูกต้องคืออย่าไปรับประทานยาให้หยุดถ่าย ถ้าเรารับประทานยาให้หยุดถ่าย พิษต่างๆก็จะซึมเข้าสู่ร่างกาย หากซึมผ่านเส้นเลือดไปที่ผิวหนังก็จะเป็นผื่น ซึมไปที่ไตก็จะเป็นโรคไต ซึมไปที่ระบบหายใจก็จะเป็นหืดหอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ต้องใช้ธรรมชาติบำบัดให้ขับพิษออกให้หมด
    แนะนำให้รับประทานอาหารมังสวิรัติ ไม่แนะนำให้อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ เช่น หมู ปลา ท่านบรรยายว่าถ้านำเนื้อสัตว์ไปทิ้งไว้ในตู้หลายๆวันก็จะมีกลิ่นเหม็นเน่ามี สารพิษ เหมือนกับ คนที่รับประทานเนื้อสัตว์ไปหมักหมมอยู่ในลำไส้ ร่างกายก็จะได้รับสารพิษนั้นด้วย
    ในกรณีคนที่ปวดศีรษะเนื่องจากเป็นเนื้องอกที่สมอง จริงๆแล้วกลไกของร่างกายต้องการให้หยุดทำงาน หากรับประทานยาแก้ปวดศีรษะ อาการปวดบรรเทาก็ยังคงทำงานต่อไปได้ เนื้องอกก็จะลุกลามต่อไป จึงควรที่จะรักษาโดยธรรมชาติบำบัด (Health Life Style) การรับประทานยาต่างๆ เช่น Brufen, Paracetamol, Penicillin, Tetracycline ซึ่งจะมีพิษต่อตับ และไต ยาจะให้ผลดีในระยะสั้น แต่จะเกิดผลเสียในระยะยาว
    ทุกวันนี้คนเราป่วยเพราะมีสารพิษตกค้างในร่างกาย การบริโภคอาหารแต่ละชนิดใช้เวลาในการย่อยไม่เหมือนกัน เช่น เนื้อสัตว์ใช้เวลาในการย่อยนานถึง 12 ชั่วโมง ขณะที่ผักดิบใช้เวลาย่อย 2 ชั่วโมง 30 นาที ส่วนน้ำผลไม้ใช้เวลาย่อยเพียง 1 ชั่วโมง

 
  ในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นแผลเรื้อรัง เมื่อผู้ป่วยมีอาการเป็นแผลตามแขนขาซึ่งเป็นแผลที่รักษาไม่หาย อาจจะต้องตัดอวัยวะส่วนที่เป็นแผลทิ้ง Jacob รักษาโดยวิธีธรรมชาติบำบัดอย่างง่ายๆ ด้วยการให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานใช้ รับประทาน raw diet (อาหารดิบ น่าจะหมายถึงผักผลไม้สด) ใช้สมุนไพร tamaric root (พืชเป็นหัวใต้ดินตระกูลขิงข่าขมิ้น) และ น้ำเย็น ล้างแผล วันละ 2 - 3 ครั้ง แล้วให้ผู้ป่วยตากแดด เน้นเรื่อง การตากแดด แผลนั้นก็จะค่อยๆแห้ง และ ยุบจนกระทั่งแผลหาย
    การรักษาผู้ป่วยเป็นไมเกรน หรือ ไซนัส การล้างจมูกด้วยน้ำอุ่นผสมเกลือจะช่วยชำระล้างของสกปรกออกจากร่างกาย หรือล้างตาในน้ำสะอาด จะทำให้ระบบประสาทตาเย็นลง และช่วยขจัดไขมัน
    Jacob กล่าวว่า หากคนเราดูแลเรื่องอาหารการกิน ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ไม่รับประทานยา เพราะยาไม่เพียงแต่ ฆ่าเชื้อโรคเท่านั้น แต่ยังทำลายภูมิต้านทานโรคในร่างกาย ยาแผนปัจจุบันแม้จะช่วยยับยั้งอาการปวดหรืออาการไข้ แต่นั่นก็เป็นเพียงการกดอาการ ไม่ได้เป็นการรักษาให้หายขาด การรักษาอยู่ที่ตัวของเราเองที่หันมารักษาตามแนวทางธรรมชาติบำบัด วิชาธรรมชาติบำบัดขนานแท้ไม่ใช่หมอบำบัดคน หมอเป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำปรึกษา จากนั้นผู้ป่วยจะเป็นผู้บำบัดเอง วิชาธรรมชาติบำบัดเปรียบเปรยให้เห็นว่า ห้องครัวก็คือโรงพยาบาล คุณแม่ก็เหมือนหมอในบ้าน จะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วยหรือสุขภาพดี ก็ขึ้นอยู่กับคุณหมอคนนี้

    วิธีการอดอาหารเพื่อล้างพิษ เป็นทางเลือกหลักของวิชาธรรมชาติบำบัด บางคนอาจอดอาหาร 7 วัน บางคนอดอาหาร 14 วัน แต่บางคนอาจต้องอดอาหารถึง 21 วัน แล้วแต่อาการของโรค ก่อนการอดอาหารต้องเตรียมความพร้อมก่อน โดยให้รับประทานผักและผลไม้เพื่อปรับสภาพร่างกาย 3 วัน หลังจากนั้น 4 วันแรก ให้ดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว อีก 3 วัน ต่อมาให้ดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำมะนาว และ 3 วันสุดท้าย ให้ดื่มน้ำผลไม้ จากนั้นค่อยๆปรับสภาพร่างกายโดยให้รับประทานผักสดและผลไม้ แล้วกลับมาใช้ชีวิตปกติตามเดิม
    ในรายผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง อาจให้อดอาหาร 20 วัน เพื่อไม่ให้มะเร็งเจริญเติบโต ระหว่างนั้นจะให้น้ำผลไม้อ่อนๆ ให้เอาผ้าเปียกมาประคบบริเวณที่มีอาการปวดจะทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น เพราะระบบภายในของผู้ป่วยโรคมะเร็งจะสูญเสียสมดุลเกือบหมด ระหว่างการรักษา หากผู้ป่วยมีอาการไข้นอนซม หมอธรรมชาติบำบัดจะรู้สึกดีใจ เพราะเป็นวิธีการที่ธรรมชาติรักษาตัวเอง อุณหภูมิในร่างกายผู้ป่วยสูงขึ้นเพื่อฆ่าเชื้อโรค Jacob บอกว่า เมื่อผู้ป่วยภาวนาจนเกิดอาการไข้สูงต้องนอนซม 4 - 5 วันนั้น เป็นการส่งสัญญาณว่าการรักษาได้ผล บางครั้งผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอ ปากขมไม่อยากรับประทานอาหาร เพราะร่างกายต้องการเยียวยาตัวเอง หากผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดบริเวณที่เป็นโรคมะเร็งก็จะใช้โคลนพอกเพื่อช่วย บำบัดอาการเจ็บปวด นอกจากนี้ยังใช้วิธีฝึกเปลี่ยนจิตของผู้ป่วยด้วยการให้ฝึกภาวนาและเปลี่ยน วิธีคิดของผู้ป่วย โดยให้คิดว่าวันนี้อาการดีขึ้น หรือ ให้ผู้ป่วยด้วยกันช่วยกันเยียวยาจิตใจ เช่น ให้พูดบอกกันว่า วันนี้อาการดูดีขึ้นนะ

    วิชาธรรมชาติบำบัดมีหลักว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว หากจิตตาย ร่างกายจะตายด้วย Dr. Jacob กล่าวว่า การฝึกโยคะก็เป็นอีกวิธีหนึ่งของการรักษาเพื่อให้เข้าถึงจิตตัวเอง คนทั่วไปมักจะนึกว่าเราเป็นเจ้าของร่างกาย แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ต้องกลับไปดูที่จิต ตัวอย่างเช่น คนที่ออกกำลังกายในโรงยิม ก็เหมือนคนภาวนาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เพราะจิตบอกว่าออกกำลังกายเพื่อให้มีกล้าม ต่างจากกรรมกรที่แบกหาม กล้ามเนื้อจะไม่สมบูรณ์เหมือนคนออกกำลังกายในโรงยิม เพราะจิตไม่ได้สั่ง
    กิจกรรมในสถานพยาบาลของศูนย์ธรรมชาติบำบัด นวชีวัน มีกำหนดการฝึกเป็นเวลา คือ
    6.00 น. - ฝึกโยคะ นุ่งห่มชุดขาว เป็นการฝึกกายและจิต โดยใช้แสงแดดในการรักษา
    - ล้างตาด้วยน้ำธรรมดา ล้างจมูกด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ ล้างคอด้วยน้ำมะนาวผสมเกลือในน้ำอุ่นๆ สวนทวาร (detoxification) โดยใช้น้ำสะอาดครั้งละ 6 ออนซ์ ผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องปฏิบัติทุกวัน ส่วนคนปกติธรรมดาควรล้างพิษด้วยการสวนทวารสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
    - กินผักสดดิบที่ได้มาจากธรรมชาติ โดยไม่ต้องทำให้สุกก่อน
    - อาหาร วิธีการปรุงอาหารอย่างไร ? ผสมกับอะไรจึงจะไม่เป็นพิษ การรับประทานอาหารที่เป็นธรรมชาติสดๆ หรือหากต้องรับประทานน้ำตาลก็ควรรับประทานน้ำตาลแดงที่ไม่ได้ใช้สารฟอกสี
    - ใช้วารีบำบัด โดยแช่ร่างกายส่วนล่างถึงระดับสะโพกในถังน้ำ ใช้น้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นครั้งละครึ่งชั่วโมง ความเย็นของน้ำจะช่วยดึงเลือดมาเลี้ยงบริเวณกระเพาะเพื่อซ่อมแซมตัวเอง
    - ใช้ Spinal Bath ในผู้ป่วยที่มีอาการแขน ขา อ่อนแรง
    13.00 น. - ให้อดอาหาร ให้ดื่มน้ำ หรือน้ำผลไม้ โดยดูจากอาการของผู้ป่วยเป็น ราย ๆ ไป
    17.00 น. - เล่นเกม เข้านอน 21.00 น.


    คำขวัญของศูนย์ธรรมชาติบำบัดนวชีวัน คือ “ เข้ามาคุณเป็นคนไข้ กลับออกไปคุณเป็นหมอ “


ถอดความโดย นางจุฑา ลิ้มสุวัฒน์ บันทึกรายงาน
                                                              ❤❤❤❤❤
ที่มา : การบรรยาย เรื่อง "ธรรมชาติบำบัด"
    โดย Mr.Jacob Vadakkanchary
    วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2546 เวลา 13.00–16.00 น.
    ณ ห้องประชุมเบญจกูล สถาบันการแพทย์แผนไทย
    กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

 http://www.thaicam.go.th