วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การปลูกพริก


 การปลูกพริก

       มีฝรั่งชาวต่างประเทศคนหนึ่ง มีเมียเป็นคนชาวอีสาน เมียนั้นชอบกินส้มตำมากชอบเป็นชีวิตจิตใจ กินเสร็จก็เทเศษเมล็ดพริกรอบๆรั้ว 
          เม็ดพริกที่ว่านี้วันดีคืนดีเติบโตออกดอกออกผล ให้เมียและครอบครัว แถมมีเพื่อนบ้านได้เก็บกินกันอย่างสบายใจ
          วันหนึ่งฝรั่งเดินตลาดสดกับเมีย แล้วเห็นเขาขายพริกกัน ฝรั่งงงครับ ถามว่าพริกนี้เพียงแค่ซื้อไปกินกันในครอบครัวทำไมต้องซื้อ ทำไมไม่ปลูกกินกันเอง  คือแบบว่าเพียงเททิ้งข้างรั้ว ฝั่งเห็นพริกงอกงามเก็บกินได้ ถ้าปลูกมันจะขนาดไหน
          คนได้ฟังถึงต้องอึ้ง เห็นด้วยกับคำพูดของฝรั่ง
          ผมก็ยังอึ้ง กับคำพูดของ ท่านฝรั่งท่านนี้ 
         ตั้่งแต่นั้นมา ผมเริ่มปลูกพริก และปลูกลงในกระถางแทนที่จะปลูกไม้ดอกไม้ประดับอย่างเดียวปลูกพริกด้วย 3 - 4 กระถางเท่านั้น 5 ปีผ่านไปแล้วไม่เคยซื้อพริกเลย โดยพริกที่ผมปลูกจะเป็นจำพวกพริกขี้หนู และพริกเครือ
         เดี๋ยวนี้ ผมไม่ได้ปลูกพริกกินคนเดียวแล้ว เพราะกินไม่ทัน พริกสุกแดงเต็มต้นเลย
         ก็เลยมี โปรเจกต์แรก ซื้อถุงดำมาเพาะพริกเสียเลย แล้วนำพันธุ์ไปแจกฟรีเพื่อนบ้าน และเพื่อนในสำนักงาน ผลตอบรับนะหรือ
         ทุกคนดีใจ เหมือนปลากัดเห็นยุง มีความสุขจังกับการให้
         ถ้าใครดูแลไม่ดี จีมีการปรับเป็น ถุงดำและดินปลูก เพื่อนำมาขยายให้มากขึ้น

พริกที่ผมเพาะแจก เห็นแล้วอยากกัด
          วันไหนมีกับข้าวที่ต้องใช้พริกสดกินด้วย ยกกระถางพริกตั้งวงได้ ไหนๆ ก็พูดเรื่องพริกนำเอาความรู้เรื่องพริกมาฝากกัน นำมาจาก เว็บไซต์  http://www.surin.rmuti.ac.th  เขาว่าดังนี้

          พริกจัดว่าเป็นพืชผักที่มีความ สำคัญทางเศรษฐกิจพืชหนึ่งของประเทศไทย  เพราะในชีวิต ประจำวันของคนไทย  สามารถจะกล่าวได้ว่าทุกครอบครัว  ทุกคนจะต้องใช้พริกในการประกอบอาหารนอกจากนั้นยังนำไป เข้าโรงงานอุตสาหกรรมได้  คือ  ซอสพริก  และยังนำไปประกอบอาหารให้มีรสเผ็ด ซึ่งคนไทยจะขาดเสียมิได้

           การปลูกพริกในประเทศไทยสามารถปลูกได้ตลอดปี  ถ้ามีน้ำ อุดมสมบูรณ์  หรือปลูกในฤดูฝนก็ได้  พริก สามารถปลูกได้ทุกภาคทุกจังหวัด  ทั้งนี้เนื่องจากพริกมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปอเมริกาและมีการ แพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ  ของโลก  จังหวัดที่ปลูก พริกกันเป็นพื้นที่มาก  ได้แก่  กาญจนบุรี,  ประจวบฯ,  เพชรบุรี,  สมุทรสาคร,  สุโขทัย,  สุพรรณบุรี,  เชียงราย,  น่าน,  ลำปาง,  เชียงใหม่  ฯลฯ  พริกที่ปลูกกันได้แก่  พริกบางช้าง,  พริกสันป่าตอง,  พริกชี้ฟ้า,  พริกขี้หนูเม็ดใหญ่  เป็นต้น

             พันธุ์ 
              ในประเทศไทยพันธุ์พริกที่มีปลูก  และรู้จักกันทั่วไป อยู่ในพวกล้มลุก  มีอยู่ประมาณ  6  ชนิด
              1.  พริกบางช้าง ขนาดของผล โตกว่าพริกมัน  ผลตรงกลมโคนผลใหญ่  ปลาย เรียว  ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ  2.5  เซนติเมตร  ยาว  10-12  เซนติเมตร  ผิวเรียบ  ผลอ่อนสีเขียว  ผลแก่สีแดงจัด  รสไม่สู่เผ็ด  มีเนื้อมาก  เมล็ดน้อย  อบแห้งสีจะแดงดี
              2.  พริกขี้หนู มีขนาดต่าง ๆ กัน  ผลมีขนาดเล็ก  ผลสี เขียว  หรือเหลือง  พันธุ์ ทั่ว ๆ  ไป  ส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์ของท้องถิ่นต่าง ๆ  ผล แก่จะมีสีแดง  มีรสเผ็ดจัด
              3.  พริกหยวก ผลโตป้อม  ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง  3-4  เซนติเมตร  ยาว  8-10  เซนติเมตร  ปลายทู่ไม่เกลี้ยงบุบ เป็นร่อง  มีเมล็ดในน้อย  ใส้ ใหญ่  สีเขียวแกมเหลือง  ผล แก่สุกแดงเป็นมัน  รสไม่สู้เผ็ด  หรือ เผ็ดน้อย  ราคาแพง  ปลูกกัน น้อยกว่าพริกอย่างอื่น
              4.  พริกมัน ผลมันเรียบ  ผลตรง  กลม  และเล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง  0.6  เซนติเมตร  ยาว  6-8  เซนติเมตร  มี เมล็ดในมาก  เมื่ออ่อนผลจะมีสีเขียวจัด  เวลาแก่เป็นสีแดง  รสเผ็ด
              5.  พริกยักษ์ ผลโตป้อม  บริเวณรอบ ๆ  ข้อผลเป็นรอยบุ๋ม  ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-8  เซนติเมตร  ยาว  10-12  เซนติเมตร  มี เมล็ดในน้อย  เนื้อผลหนา  สีผลเมื่ออ่อนเขียวจัดเป็นมันเวลาแก่สีแดง  รส ไม่เผ็ด  ปลูกได้ดีในช่วงเดือนตุลาคม  เก็บเกี่ยวประมาณเดือนธันวาคม  จะได้ราคาดี
              6.  พริกสิงคโปร์ ขนาดผลโต  เส้นผ่าศูนย์กลาง  1.5-2  เซนติเมตร  ยาว  8-12  เซนติเมตร  ปลาย งอหยิก  ผิวไม่เรียบ  มุมเป็นร่อง  ๆ  มีเมล็ดน้อย  ผลเมื่ออ่อนมีสีเขียวจัด  เวลาแก่เป็นสีแดง  มีรสเผ็ด
              พริก ปลูกได้ตลอดปี  ถ้าหากพื้นที่นั่น ๆ  มีน้ำอย่างเพียงพอสำหรับพื้นที่ ๆ  ไม่อยู่ ในเขตชลประทาน  จะปลูกพริกกันในช่วงฤดูฝนจะเริ่มเพาะกล้าประมาณเดือนมีนาคม - เมษายน  และจะย้ายปลูกในเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน  แต่ถ้าจะปลูกให้ได้ราคาดีที่สุดควรจะปลูกในช่วงเดือนมกราคมถึง กุมภาพันธ์  เพราะพริกสดจะมีราคาสูงสุดในช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม   พบว่า  พริกที่ปลูกในหน้าแล้ง  คือ  ตั้งแต่เดือนตุลาคม - พฤศจิกายน  จะให้ผลเร็วกว่าพวกที่ปลูกในหน้าฝน  คือ  ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - มิถุนายน
              ดินที่เหมาะสมสำหรับการปลูกพริกได้แก่ดินร่วนปนทรายมีความอุดมสมบูรณ์ดี  การระบายน้ำดี  พริกถ้าปลูกในฤดูฝนจะมีปัญหาว่าเป็นโรคเหี่ยว  เนื่อง จากเชื้อรา  และบัคเตรีเข้าทำลาย  ควร ปลูกพริกหมุนเวียนสลับกับข้าว  ถั่ว  และพืชอื่น ๆ

              การปลูก 
              การปลูกพริก  อาจเลือกปฏิบัติได้  3  วิธี  ตามความเหมาะสม  คือ
              1.  โดยวิธีการใช้เมล็ดพริกหยอดเมล็ดโดยตรงในหลุม หลุมละ  3-5  เมล็ด  เมล็ดพริกหวานเปอร์เซ็นต์ความงอก  80% ใช้เมล็ด  60-90  กรัม/ไร่  นิยมปฎิบัติในแปลงปลูกขนาดใหญ่  และ ไม่มีแรงงานเพียงพอในการย้ายต้นกล้า  จุดอ่อนของการ ปลูกโดยวิธีนี้คือ  ต้นพริกอ่อนแอ  อาจ จะถูกมดและแมลงอื่น ๆ  กัดกินใบ  ทำ ให้สิ้นเปลืองเมล็ดพันธุ์  และเสียเวลาในการปลูกซ่อม

              2.  เพาะเมล็ดพริกให้งอกแล้วนำไปปลูกในหลุม กลบด้วยดินบาง ๆ  วิธีเพาะคือ  นำเมล็ดพันธุ์แช่น้ำ  แล้วเอาผ้า ชุบน้ำหมาด ๆ  ห่อ  ทิ้งไว้ประมาณ  2  วัน  เมล็ดจะงอกแล้วนำไปปลูก

              3.  เพาะเมล็ดในแปลงเพาะก่อน แปลง เพาะกล้าควรใส่ปุ๋ย  15-15-15  ปริมาณ  100  กรัมต่อตารางเมตร  คลุกดินลึกประมาณ  5-8  นิ้ว  ควรใช้ฟูราดานในการเพาะด้วยเมื่อหว่านเมล็ดแล้วประมาณ  10  วัน  เมล็ดเริ่มงอก  ถ้า มีต้นหนาแน่น  ให้ถอนแยกหลังจากที่ใบจริงคลี่เต็มที่แล้ว        2-3  วัน  เมื่อกล้าอายุได้  18  วัน  รดด้วยปุ๋ยแอมโมเนียซัลเฟตละลายน้ำ  อัตราส่วน  1  กรัมต่อ น้ำ  200  ซีซี.  แล้วรดน้ำตามทันที  การ เพาะโดยวิธีเพาะโดยเมล็ดธรรมดาที่ยังไม่งอกวิธีนี้ควรคลุกยาป้องกันกำจัด เชื้อราที่อาจติดมากับเมล็ดก่อนนำเมล็ดไปเพาะได้แก่  ออ ไธไซด์  และในแปลงเพาะควรจะรดด้วยไดโฟลาแทน  80  หรือไดเทน  เอ็ม  45  เพื่อป้องกันโรคเน่า
              เมื่อกล้าสูงประมาณ  6  นิ้ว  จึงพร้อมจะย้ายปลูกได้ รวมอายุกล้าในแปลงเพาะสำหรับการเพาะโดยเมล็ดที่งอกแล้วประมาณ  30  วัน  และเพาะโดยเมล็ดธรรมดาประมาณ  40  วัน
              ในบางแห่งปลูกโดยการย้ายกล้า  2  ครั้ง  ทั้งนี้เพื่อให้ได้ต้นกล้าที่แข็งแรง  ทนทานและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็วขึ้น  โดยทำการย้ายกล้าครั้งที่  1  เมื่อกล้าโตมีใบจริง  2  ใบ  ย้ายชำในถุงพลาสติกหรือในแปลงใหม่ให้มีระยะห่าง  10-15  ซม.  ในการย้ายกล้านี้ต้องทำอย่างระมัดระวัง  พยายามให้รากติดต้นมากที่สุดก่อนย้ายปลูกในแปลงใหม่  ควรจะรดน้ำแปลงเพาะให้ชุ่ม  ทิ้งไว้      1  ชม.  แล้วใช้ไม้หรือปลายมีดพรวนดินให้ร่วน   ค่อย ๆ ถอนต้นกล้า  อายุในการชำในแปลงใหม่  15-20  วัน  หรือสูงประมาณ  6  นิ้ว  จึงย้ายปลูกได้  เพื่อให้ได้ต้น กล้าที่แข็งแรง  ทนทานต่อสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม  ทำได้โดยการฉีดพ่นสารละลายของน้ำตาลเข้มขน  10%  คือใช้น้ำตาลทราย  10  ส่วน  เติมน้ำลงไปอีก  90  ส่วน  ฉีดทุก ๆ  3  วัน  เป็นเวลา  2  อาทิตย์ก่อนย้ายปลูก  ก่อนทำการฉีดสารละลายน้ำตาลทรายนี้ต้องทำให้ใบพริกเปียกน้ำให้ทั่ว  เพื่อให้ใบดูดซึมน้ำตาลได้เป็นปริมาณสูง

              การเตรียมดิน 
              ทำการย้ายปลูก  เมื่อกล้าสูงประมาณ  6  นิ้ว  เตรียมดินแปลงปลูก  โดย ไถดะตากดินทิ้งไว้ประมาณ  5-7  วัน  ไถพรวน  1  ครั้ง  หลังจากนั้นใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักให้ทั่วแปลงในอัตรา         3-4  ตัน/ไร่  ใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์  สูตร  15-15-15  อัตรา  50  กก./ไร่  หว่านให้ทั่วพื้นที่ปลูก  แล้วพรวนกลบเข้ากับดินแล้วจึงเตรียมแปลงปลูกการเตรียมแปลงปลูก  สามารถทำได้หลายแบบ  แล้วแต่สภาพ ของพื้นที่ปลูกดังนี้คือ
              1.  ปลูกแบบไม่ยกแปลง เหมาะ สำหรับพื้นที่ ๆ  มีการระบายน้ำดี  ปรับ ระดับได้สม่ำเสมอ  การปลูกแบบนี้อาจปลูกเป็นแถวเดียว  ใช้ระยะห่างระหว่างแถว  60-70  ซม.  ระหว่างต้น  50  ซม.  หรือปลูกเป็นแถวคู่  ระยะระหว่างแถวคู่  1  เมตร  ระหว่างแถว  50  ซม.  ระหว่างต้น  50  ซม.
              2.  ปลูกแบบยกแปลง  เหมาะสำหรับพื้นที่ปลูกที่มีระดับน้ำใต้ดินสูง  ระบาย น้ำดอกได้ยาก  ขนาดแปลงกว้าง  1.50  เมตร  ร่องน้ำกว้าง  50  ซม.  ลึก  50  ซม.  ปลูก  2  แถว  บนแปลง  โดยมี ระยะห่างแถว  0.75-1.00  เมตร  ระหว่างต้น  50  ซม.  หรือปลูกเป็นแถวคู่  1  เมตร  ระหว่างแถว  50  ซม.  ระหว่างต้น  50  ซม.

               การปฎิบัติบำรุงรักษา 
              พริกเป็นพืชที่ทนแล้งดีกว่าทนน้ำ  แต่ในระยะที่พริกเริ่ม ออกดอก  พริกจะต้องการน้ำมากกว่าปกติ  พบว่า  การให้น้ำที่ไม่เพียงพอ  และอากาศแห้งแล้งจะทำให้ดอกอ่อน  ดอก บาน  และผลอ่อนที่เพิ่งติดร่วงได้  ใน สภาพที่อากาศค่อนข้างเย็น  อุณหภูมิประมาณ  10-15  ซํ.   จะทำให้พริกเจริญเติบโตไม่ค่อยดี  มีการติดดอกต่ำ  และดอกร่วงในที่สุด  การให้น้ำควรจะลดลง  หรืองดในช่วงที่เริ่มทำการเก็บผลพริก  ทั้งนี้เพราะถ้าให้น้ำพริกมากไป  จะทำให้ผลมีสีไม่สวย

       1.  การให้น้ำ หลังจากปลูกควรให้น้ำดังนี้ 
       -  ช่วง  3  วันแรก  ให้น้ำวันละ  2  ครั้ง  เช้า – เย็น
       -  ช่วง  4  วันต่อมา  ให้น้ำวันละครั้ง
       -  ช่วงสัปดาห์ที่  2  ถึงสัปดาห์ที่  4  ให้ น้ำสัปดาห์ละ  3  ครั้ง
       -  ช่วงสัปดาห์ที่  5  ถึงสัปดาห์ที่  7  ให้ น้ำสัปดาห์ละ  2  ครั้ง
       -  ช่วงสัปดาห์ที่  7  ไปแล้วให้น้ำสัปดาห์ละ  1  ครั้ง  ทั้งนี้  การให้น้ำแก่พริกควรให้ ตาม สภาพพื้นที่  และดูความชุ่มชื้นของดินประกอบด้วย
       ส่วนทางภาคอีสาน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เช่น เขตอำเภอยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ ให้น้ำทุกวัน ส่วนช่วงเดือนเมษายน ถ้าร้อนมากหรือแห้งแล้งมากอาจต้องให้น้ำวันละ 2 ครั้ง (เหมาะสมกับเกษตรกรผู้ที่ปลูกพริกไม่มาก)

           2. การใส่ปุ๋ย การให้ปุ๋ยพริกขึ้นอยู่กับชนิดและคุณภาพของดินปลูกโดยทั่วไป  ปุ๋ย คอก  อัตรา  3-4  ตันต่อไร่  ผสมกับปุ๋ยวิทยาศาสตร์  15-15-15    อัตรา  50  กก.ต่อไร่  รองพื้นก่อนย้ายปลูกและหลังย้ายปลูกแล้ว  1  เดือน  จึงใส่ปุ๋ยสูตร  15-15-15  ในอัตรา  50  กก.ต่อไร่  อีกครั้งหนึ่ง  วิธี ใส่โดยโรยกึ่งกลางระหว่างแถวปลูกแล้วพรวนกลบ  ในระยะนี้เป็นระยะที่พริกเริ่มจะมีตาดอก  (แต่ ยังไม่ออกดอก)  มีความต้องการธาตุอาหารเสริมบ้าง  ดังนั้นหลังจากใส่ปุ๋ยแล้ว  1-2  อาทิตย์  ควรฉีดปุ๋ยน้ำ  เช่น  ไบโฟลาน  ให้ทางใบ  ซึ่งพริกจะนำไปใช้ได้เร็วขึ้น  ปุ๋ยน้ำที่ ฉีดให้ทางใบนี้ควรให้ทุกครั้งหลังจากเก็บเกี่ยว  โดย ฉีดผสมไปกับยาป้องกันกำจัดศัตรูพืช

          3. การพรวนดิน เนื่อง จากพริกจะแพร่รากกระจายอยู่ใกล้ผิวดิน  จึงต้องระวัง อย่าให้รากกระทบกระเทือน  เพราะจะชงักการเจริญเติบโต  จะทำให้ต้นพริกโค่นล้มง่าย  การให้ปุ๋ยควรขุดหลุมตามบริเวณกว้างของใบพริกที่แผ่ไปถึง  อย่าใส่ชิดโคนต้น

          4.  การ เก็บเกี่ยว พริกจะเริ่มให้ผลผลิตหลังจากย้ายปลูกแล้ว  2  เดือนครึ่ง  ถึง  3  เดือน  ในระยะแรกผลผลิตจะได้น้อยและจะค่อย ๆ  เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ  เก็บเกี่ยวอาทิตย์ละ  1  ครั้งผลผลิตจะเริ่มลดลงเมื่อพริกเริ่มแก่  เมื่อ พริกอายุได้  6-7  เดือน  หลังย้ายปลูกต้นจะเริ่มโทรมและหยุดให้ผลผลิต  แต่ถ้ามีการดูแลบำรุงรักษาดีพริกจะมีอายุถึง  1  ปี

          5.  การ เก็บรักษา ผล พริกเมื่อแก่จัด  จะยังคงทิ้งให้อยู่กับต้นได้อีกชั่วระยะหนึ่ง  โดย ไม่เสื่อมคุณภาพแต่ประการใด  การเก็บรักษาพริกให้คง สภาพสดอยู่ได้  ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ  พบว่าอุณหภูมิ  0  ซํ.  ความขึ้น  95-89%  จะเก็บพริกให้คงความสดอยู่ได้นานถึง  40  วัน  โดยมีผลเหี่ยวย่นเพียง  4%  ซึ่งนับว่า  ต่ำมาก  เมื่อเทียบกับการเก็บพืชผักหลายชนิด  และอุณหภูมิ  8-10  ซํ.  ความชื้น  85-90%  จะเก็บพริกสดไว้ได้นาน  8-10  วัน

          6.  การทำ พริกตามแห้ง พริกที่จะนำมาตากแห้งต้องเก็บผลแก่จัด  มีสี แดง  ถ้าเก็บมาแล้วมีบางผลที่ยังไม่แก่ควรนำมาสุ่มไว้ในเข่งประมาณ  2  ค้น  เพื่อบ่มให้ผลสุกแดง  แล้ว จึงนำออกตากแดดให้แห้งสนิท  ควรเลือกผลที่เน่าออก ทิ้งอยู่เสมอ   ข้อควรระวังบอ ย่าให้พริกที่ต้องการทำพริกแห้งถูกฝน  จะทำให้เกิด โรครา  ราคาตกได้กสิกรบางแห่งนิยมย่างไฟ  โดยการย่างพริกไว้บนแผงหรือตะแกรงแล้วสุมไฟข้างล่าง  กลับพริกให้แห้งทั่วกัน  จะทำให้พริก แห้งเร็วขึ้น  เก็บไว้ได้นานไม่เสียง่าย

 *******

1 ความคิดเห็น:

  1. มาเยี่ยมที่บ้านไม่ได้ปลูกขึ้นเอง 555

    http://www.gotoknow.org/blogs/posts/184406

    ตอบลบ