วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อ่าน เขียนกับพระไพศาล วิสาโล สัมภาษณ์โดย เด่น นาคร วารสาร "ปากไก่"ของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ฉบับวันที่ ๕ พ.ค. ๒๕๕๓

อ่าน เขียนกับพระไพศาล วิสาโล
สัมภาษณ์โดย เด่น นาคร
วารสาร "ปากไก่"ของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
ฉบับวันที่ ๕ พ.ค. ๒๕๕๓

       นิสัยรักการอ่านที่มีติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ส่งผลโดยตรงในเรื่องผลการเรียน จนจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี และถูกคาดหวังจากผู้คนรอบข้างหรือแม้แต่ตัวเอง ว่าจะเติบโตไปในสายวิศวะ หรือนักเรียนแพทย์ แต่จากนั้นนิสัยรักการอ่านได้ขยายไปสู่หนังสืออื่นที่นอกเหนือไปจากตำราเรียน กระทั่งหนังสือของนักเขียนที่ชื่อ ส.ศิวรักษ์ หรือสุลักษณ์ ศิวรักษ์ มาอยู่ในมือและ โลกการอ่านเท่านั้นแหละชีวิตของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ถึงกับพลิกเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง
        “ชีวิตมาพลิกเปลี่ยนเมื่อหันมาอ่านหนังสือของอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ‘หนังสือชวน อ่านวิจารณ์หนังสือต่าง ๆ’ จากนั้นก็ตามอ่านบทความและหนังสือเล่มอื่น จนได้มาอ่านสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ถือเป็นการเปิดหูเปิดตามาก อ่านแล้วเกิดแรงบันดาลใจ เกิดไฟในการคิดในการวิพากษ์วิจารณ์ และเกิดไฟในแง่ของการอยากให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นในสังคม”
        จากนั้นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่หันมาสนใจเรื่องราวของบ้านเมือง ก็กระโจนตัวเองสู่กิจกรรม เพื่อสังคมในด้านต่าง ๆ ร่วมออกค่ายอาสาพัฒนาสารพัดค่าย สั่งสมประสบการณ์และคมคิดจนเติบกล้า กระทั่งตบเท้าร่วมขบวนเรียกร้องประชาธิปไตยกับนิสิตนักศึกษาในยุค ๑๔ ตุลา ๑๖ ทั้งร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองหลัง ๖ ตุลา ๑๙
        ทำงานและคลุกคลีอยู่กับกลุ่มนักคิดนักเคลื่อนไหวภาคสังคมที่ดำเนินการในเมืองยุค เผด็จการครองประเทศ ทว่าวันหนึ่งความเครียดก็มาเยือน หันหาทางออกใดก็ช่างมืดมน เหลือเพียงหนึ่งเส้นทางคือ เข้าสู่เพศบรรพชิต กำหนดจิตมุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อเยียวยาจิตใจ กระนั้นความเป็นห่วงบ่วงใยในสังคมหาได้ตัดเยื่อไปไม่ ด้วยยังคงออกมาเตือนสติผู้คนให้ยึดมั่นในแนว ทางสันติวิธีในทุกครั้งที่บ้าน เมืองขัดแย้งแตกแยก เช่นเดียวกันกับงานด้านการเขียน ก็ยังคงหลั่งไหลประดุจสายน้ำฉ่ำเย็นริน ไหลชุบชโลมผืนแผ่นดินให้หายรุ่มร้อนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
        หากนับเวลาก็ร่วมสามทศวรรษ แล้ว ที่บรรพชิตกิจวัตรดีงามผู้หนึ่งได้ดำรงตนในวิถีเป็นมา และในวันที่ท่านได้รับการเชิดชูให้ได้รับรางวัลศรีบูรพา เรื่องราวของท่านก็คงมีคนบอกกล่าวกันในหลากหลายแง่มุม ต่อไปนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมรับรู้ในอีกด้านมุมชีวิตของ พระไพศาล วิสาโล ว่าด้วยเรื่องเขียน อ่าน และความรู้สึกต่อการได้รับรางวัลศรีบูรพา ประจำปี ๒๕๕๓นี้
       ท่านเขียนหนังสือทุกวันไหม
       ไม่หรอก เป็นบางวัน เดือนหนึ่งเขียนสัก ๔ ชิ้นได้
       ท่านใช้เวลาช่วงไหนเขียนหนังสือ
        เที่ยงถึง ๔ โมงเย็น เมื่อก่อนเขียนตั้งแต่เช้าเลยนะ ๙ โมงถึงบ่าย ๓ แต่ ๑๐ ปีหลังมานี่เช้าๆ เขียนไม่ได้ มันตื้อ ง่วงนอนบ้าง ต้องนอนก่อนกว่าจะเริ่มเขียนได้ก็ช่วงเที่ยง เขียนวันละ ๔ ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะไม่มีแรง
       เมื่อก่อนเขียนและส่งต้นฉบับอย่างไรครับ
        พิมพ์ดีดแล้วก็ส่งไปรษณีย์ เก็บก็อปปี้ไว้ใครเข้าเมืองก็ฝากส่ง ช้านะสมัยก่อน ต่อมามีคอมพิวเตอร์ก็ลองใช้ดู ส่งเป็นดิสเก็ต แต่ก็ส่งล่วงหน้าหลายวัน ส่วนอินเทอร์เน็ตที่นี่เพิ่งมีใช้เมื่อปี ๔๘ ก่อนหน้านั้นจะส่งอีเมล์ก็ต้องไปส่งที่บ้านท่ามะไฟหวาน ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไป ๑๕ กม. เวลาจะส่งก็ต้องเขียนสะสมให้ได้สัก ๒-๓ ชิ้นถึงค่อยไปส่ง จะได้คุ้มกับเวลาที่ต้องเสียไปกับการเดินทาง เพราะทางค่อนข้างทุรกันดารสักหน่อย หรือไม่ก็ฝากคนไปส่งให้ แต่ปกติก็ส่งเป็นดิสเก็ตไปที่กรุงเทพ ฯเลย
แต่ที่นี่มีปัญหาเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ เพราะไม่มีไฟฟ้า วันหนึ่งใช้คอม ฯได้แค่ ๒ ชั่วโมง แบตก็หมดแล้ว ต้องลงเอาไปชาร์จที่สำนักงานป่าไม้ใกล้ ๆ วัด แต่ตอนหลังก็ได้อาศัยไฟฟ้าจากสำนักงานป่าไม้ รวมทั้งอาศัยไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่กุฏิ เดี๋ยวนี้การส่งอีเมล์ก็สะดวกขึ้นเพราะส่งผ่านโทรศัพท์มือถือได้ แต่ถ้าส่งเป็นไฟล์ใหญ่ก็ยังช้าอยู่ ไฟล์ใหญ่ ๆ ก็รับไม่ได้ แต่เท่านี้ก็พอแล้ว
       ข้อจำกัดเยอะขนาดนี้ งานเขียนของท่านก็ยังหลั่งไหลออกมาเป็น ๑๐๐ เล่ม
       ทำวันละนิด วันละหน่อย มันก็ไปได้
       งานเขียนในทางพุทธศาสนา ได้มาจากอาจารย์ท่านใดบ้างไหม
       ในทางพระพุทธศาสนาก็ต้องท่านพุทธทาส และท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ๒ ท่านนี่แหละที่ได้ ยึดเป็นหลักมาก ท่านพุทธทาสจะมุ่งไปที่แก่นเลย คือ เรื่องอัตตา เรื่องตัวกู ของกู แต่ของเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ อาตมาจะได้ในเรื่องโครงสร้างหลักธรรมของพุทธศาสนา และวิธีคิด โดยเฉพาะได้ อ่าน พุทธธรรม แล้วเป็นงานชั้นเลิศมาก
        พุทธธรรม เป็นหนังสือชั้นเลิศยังไงครับ
        เพราะเป็นคำตอบของชีวิต และทำให้เกิดมุมมองทางสังคมที่ไม่เหมือนใคร ที่ไม่เคยนึกมาก่อน อย่างที่บอกว่าหนังสือเล่มนี้ทำให้เห็นโครงสร้างของพระพุทธศาสนา ทำให้เข้าใจวิธีคิดแบบพุทธ และช่วยให้เรามีวิธีคิดที่สอดคล้องกับความเป็นจริงได้
       ชาวพุทธจำเป็นต้องผ่านหนังสือเล่มนี้ไหม
        ไม่จำเป็น คนส่วนใหญ่คงอ่านไม่ไหวหรอก ตั้งเกือบพันหน้า แต่ถ้าอยากรู้ลึกซึ้งก็ต้องเล่มนี้
       หนังสือของท่านพุทธทาสที่มีหลายเล่ม อยากให้พระอาจารย์แนะนำคนทุกวันนี้ ควรจะอ่านเล่มไหนถึงจะเหมาะ
        พุทธประวัติจากพระโอษฐ์, อริยสัจจากพระโอษฐ์, แก่นพุทธศาสน์ หรือ ที่คนพูดถึงกันมากอย่าง คู่มือมนุษย์, ตัวกูของกู ชาวพุทธถ้าเข้าใจเรื่องตัวกูของกูได้ ก็ทำให้จับหลักพุทธศาสนาได้ ตัวกูของกู นี่เป็นเรื่องใหญ่เป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ของมนุษย์
       หนังสือที่พิมพ์ออกมาท่านอาจารย์ เคยนับเองไหมว่ามีกี่เล่มแล้ว
        ๑๐๔ เล่ม บางเล่มก็เป็นเล่มเล็ก ๆ เขาก็นับรวมเข้าไปเพื่อทำบันทึกเอาไว้ ด้วย เล่มหนา ๆ ก็มีเยอะ
       เล่มไหนที่คิดว่ามาสเตอร์พีซของท่านอาจารย์
        ที่เขาว่ากันก็ พุทธศาสนาไทยในอนาคต แต่อาตมาคิดว่ายังไม่ถึงที่สุดของตัวเองเท่าไหร่ มีอีกหลาย อย่างที่เราเห็นว่าน่าจะเขียนลงไป แต่ไม่มีเวลาทำ ยิ่งตอนนี้ยิ่งไม่มีเวลา ไม่มีแรงด้วย
       ท่านคงศึกษาข้อมูลเยอะมากกว่าจะเป็นเล่มนี้
        แต่มีงานอีกหลายชิ้นที่อาตมายังไม่ได้อ่าน และน่าจะอ่านได้มากกว่านี้ ซึ่งถ้าได้อ่านก็คงจะเขียนอะไรได้ลึกกว่าที่เห็น แต่ไม่มีเวลา ต้องรีบทำให้เสร็จก่อน เลยออกมาเท่าที่เห็น
       พุทธศาสนาไทยในอนาคต เนื้อหาครอบคลุมสังคมพระตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน ซึ่งหลาย ๆ อย่างก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
        มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังมีการแบ่งเป็นธรรมยุติกับมหานิกาย แม้แต่ความเป็นอีสาน เขาก็ยังดูถูกอยู่เลยว่าเป็นลาว อย่างสมเด็จพุฒาจารย์วัดมหาธาตุก็ถูกค่อนว่าเป็นลาว เพราะท่านเป็นคนขอนแก่น นี่เป็นทัศนคติในสังคมพระอย่างน้อยก็เมื่อสี่สิบปีก่อน เดี๋ยวนี้ก็คงมีอยู่แต่น่าจะลดลง ยังไม่ต้องพูดเรื่องไพร่ในหมู่ไพร่ก็ยังมีการแบ่งว่าใครลาว ใครกรุงเทพฯ ใครภาคกลาง อย่างพระไพศาลนี่เขาก็ว่าพระลาวเหมือนกัน แต่จริง ๆ ลาวนี่แหละที่เป็นกำลังหลัก
       หนังสือกว่า ๑๐๐ เล่มที่ตีพิมพ์ พระอาจารย์เอาค่าลิขสิทธิ์ไปใช้ด้าน ไหนบ้างครับ
ค่าลิขสิทธิ์ก็ได้มาบ้าง แต่ไม่ทุกเล่ม ถ้าผู้พิมพ์เป็นมูลนิธิหรือเป็นเพื่อนก็ไม่รับ บางแห่งที่เป็นการค้า หน่อยก็รับ แต่ก็จะบริจาคต่อให้เครือข่ายพุทธิกา หรือไม่ก็ถวายวัดไป ปกติก็ไม่รับอยู่แล้ว บางเล่มตีพิมพ์ หลายครั้งก็ไม่ได้รับค่าลิขสิทธิ์นะ เขาให้เป็นหนังสือ หรือบางทีเขาก็ถวายให้วัด ถวายให้ทีละแสน ๆ แต่ก็ไม่บ่อย บางเล่มอาตมาก็ไม่รู้ว่าพิมพ์กี่ครั้งแล้ว สำนักพิมพ์ไม่ได้บอกให้รู้
      เคยกลับไปอ่านหนังสือที่ตัวเองเขียน บ้างไหมครับ
       ไม่เคย ไม่กล้าอ่าน (หัวเราะ)
       หนังสือของพระอาจารย์พิมพ์กับหลายสำนัก เขามาติดต่อยังไงครับ
       ใครอยากพิมพ์เขาก็มาติดต่อ ก็มีบางแห่งอยากพิมพ์หนังสือธรรมะแจก เอาจากที่อาตมาบรรยายตามที่ต่าง ๆ มาพิมพ์แจกก็มี บางทีก็รวมบทความที่เคยเขียน ถ้าอาตมาเป็นฆราวาสก็คงไม่ได้พิมพ์มากขนาดนี้หรอก แต่นี่อาตมาเป็นพระ เขาเลยพิมพ์เยอะ ส่วนหนึ่งมันเกี่ยวกับการตลาดด้วย เพราะคนสนใจหนังสือธรรมะมากขึ้น ซื้อมาก แต่จะอ่านหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนคนที่พิมพ์แจกก็เพราะอยากจะทำบุญ
      มีเขียนแนวอื่นเก็บไว้บ้างไหม อย่างบทกวี เรื่องสั้น
       ไม่มี อาตมาไม่มีหัวด้านนี้เลย
      ช่วงหลัง ๆ นี้ได้อ่านงานวรรณกรรม ของใครบ้างครับ
       ของ ชาติ กอบจิตติ ชอบเรื่อง นักขึ้นภูเขาทอง มีสาระดี เอาไปใช้ประโยชน์หลายงานแล้ว เร็ว ๆ นี้ก็อ่านเรื่อง ลับแล,แก่งคอย ของอุทิศ เหมะมูล กับอีกเล่มของ วาณิช จรุงกิจอนันต์ เป็นงานเขียนรวมเล่มเนื่องในโอกาสครบอายุ ๖๐ ปี ของกนกพงศ์ สงสมพันธ์ ก็คิดว่าจะอ่านเหมือนกัน แต่ไม่มีเวลาสักที เห็นว่ามีเล่มหนึ่งที่คนเขาชมมาก เรื่อง นิทานประเทศ ใช่มั้ย มีเวลาจะลองอ่านดูสักครั้ง
      นิตยสารที่อ่าน
      ก็มี ฅ.คน สารคดี เนชั่นแนลจีโอกราฟิก มติชนสุดสัปดาห์ เนชั่น ส่วนภาษาฝรั่ง ก็เช่น ไทม์ นิวส์วีก อีโคโนมิสต์
       มาที่งานศรีบูรพาบ้าง เริ่มอ่านเล่มไหนก่อน และอ่านช่วงไหน
        เรื่องแรกที่อ่านคือ จน กว่าเราจะพบกันอีก อ่านตอนประท้วงที่ธรรมศาสตร์ก่อนเกิดเหตุ ๑๔ ตุลา
      ส่งผลต่อความคิดเลยไหม
มันไม่ถึงกับสะเทือน แต่ก็ได้แง่คิดสำหรับคนหนุ่มสาว สมัยก่อนนิยายเพื่อชีวิตยังไม่ค่อยมี ที่ขายดีก็เรื่อง จากเหมยถึงพลับพลึง เป็นงานแปลจากจีน เป็นวรรณกรรมที่มีสาระแต่ไม่ถึงกับเป็นวรรณกรรมเพื่อมวลชน หรือของวิทยากร เชียงกูล ของศรีบูรพาก็จนกว่าเราจะพบกันอีก แลไปข้างหน้า เล่มหลังนี้ตอนนั้นไม่มีใครกล้าพิมพ์เลย มีแต่ฉบับโรเนียว อีกเล่มของคือ บันทึก ๒๔๗๕ ใช้ชื่อจริงคือกุหลาบ สายประดิษฐ์
       นับถือศรีบูรพาในเรื่องใด
        เรื่องความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นในอุดมคติ ความเสียสละเพื่อประเทศชาติ ความประณีต ศรีบูรพาเป็นคนมีวินัยสูงมาก และก็เป็นคนใฝ่รู้ ไม่ยอมหยุดนิ่ง โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ทำให้มีผลงานใหม่ ๆ ออกมาเสมอ ไม่ติดกับของเดิม ความใฝ่รู้ทำให้ท่านหันมาสนใจพุทธศาสนาอย่างจริงจัง จนมีผลงานในด้านนี้ นอกเหนือจากงานด้านวรรณกรรมและการเมือง
        ศรีบูรพาเสียสละตัวเองเพื่อสังคม แต่ไปตายในแผ่นดินอื่น ถือว่ายุติธรรมกับท่านไหม
        ท่านน่าจะกลับมาช่วงหลัง ๑๔ ตุลานะ แต่คิดว่าตอนนั้นสุขภาพของท่านคงแย่แล้ว เสียดายว่า ๑๐ กว่าปีที่อยู่จีนแดงไม่มีผลงานสำคัญออกมาเลย เสียดายเพราะท่านเป็นนักเขียนโดยสัญชาตญาณ เขียนตั้งแต่เล็ก
        กับความรู้สึกที่ได้รับรางวัลศรีบูรพา
        มีความรู้สึกหลายอย่างนะ อย่างแรกคือ ไม่คาดคิดว่าจะได้ เป็นเซอร์ไพรส์ ความรู้สึกที่สองคือ ไม่รู้จะพูดยังไง คล้าย ๆ เป็นความตะขิดตะขวงหรือเคอะเขิน ไม่รู้จะใช้คำไหนบอกไม่ถูก นึกคำไม่ออก คือรู้สึกว่าอาตมายังไม่ค่อยเหมาะนะ อีกความรู้สึกหนึ่งคือรู้สึกว่าเป็นภาระ ต้องแบกภาระอันทรงเกียรตินี้ เพราะมัน เป็นรางวัลที่เกินตัว แต่ไม่กังวลนัก เพราะอาตมาก็เขียนงานอยู่สม่ำเสมอ มันไม่เหมือนกับซีไรต์ เพราะซีไรต์เขาพิจารณาแค่เล่มเดียว แล้วคนอ่านก็คอยว่าเมื่อไหร่คุณจะมีผลงานออกมาอีก แต่รางวัลศรีบูรพา จะพิจารณาถึงงานที่ทำมาทั้งหมด ไม่ได้ดูเป็นเล่ม ๆ และตอนนี้ก็เป็นช่วงเข้าปัจฉิมวัยแล้ว จึงไม่ได้กังวลอะไรกับงานเขียนชิ้นต่อ ๆ ไป
*******
รวมจาก  http://www.visalo.org/columnInterview/parkkai.htm

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

จิตแจ่มใสเมื่อไกลโทรศัพท์

จิตแจ่มใสเมื่อไกลโทรศัพท์
โดย ภาวัน


 
       ในยุคที่ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็วและไม่มีขีดจำกัดนั้น โปรแกรมหนึ่งซึ่งกำลังได้รับความนิยมในหมู่คนทำงานระดับสูงก็คือ โปรแกรมชื่อ Freedom คุณสมบัติของโปรแกรมนี้ก็คือตัดการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตนานถึง ๘ ชั่วโมง ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องรับข้อมูลข่าวสารใด ๆ จากคอมพิวเตอร์
        สาเหตุที่โปรแกรมนี้ได้รับความนิยมก็เพราะผู้คนจำนวนมากขึ้นรู้สึกว่าตน กำลังถูกข้อมูลท่วมทับและกระหน่ำอยู่ตลอดเวลาจนไม่เป็นอันทำงาน ทำให้คุณภาพของงานถดถอย รวมทั้งทำให้ชีวิตของตนแย่ลง การสำรวจของรอยเตอร์พบว่า ๒ใน ๓ ของผู้จัดการรู้สึกว่าภาวะข้อมูลท่วมท้นนั้นทำให้มีความพอใจในงานน้อยลงและ บั่นทอนความสัมพันธ์ส่วนตัว ขณะที่ ๑ ใน ๓ คิดว่ามันได้ทำลายสุขภาพของเขา
        ภาวะข้อมูลท่วมท้นนั้นกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของผู้คนในสังคมไฮเทค ตั้งแต่ตื่นเช้าจนเข้านอน ข้อมูลนานาชนิดหลั่งไหลสู่โสตประสาทไม่ได้หยุด ทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ ป้ายโฆษณา แต่นั่นก็คงไม่หนักเท่ากับข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแบล็คเบอรี่ ซึ่งคนส่วนใหญ่เปิดรับวันละหลายชั่วโมงหรือเปิดเครื่องทั้งวันทั้งคืน ยิ่งในเวลาทำงานด้วยแล้ว ข้อมูลเหล่านี้หลั่งไหลมาต่อเนื่องไม่หยุด มีการวิจัยพบว่าพนักงานออฟฟิซในสหรัฐอเมริกาและยุโรปสามารถทำงานต่อเนื่อง ได้เพียง ๓ นาทีเท่านั้นโดยไม่มีอะไรมาขัดจังหวะ สิ่งที่มาแทรกระหว่างทำงานนั้นส่วนใหญ่มิใช่อะไรอื่น หากได้แก่ โทรศัพท์ อีเมล์ และ sms ข้อมูลเหล่านี้แม้จะเกี่ยวกับเรื่องงานการ แต่ก็ส่งผลให้คนทำงานขาดสมาธิ ใจไม่จดจ่อกับงานที่กำลังทำ ผลก็คือ คุณภาพของงานลดลง ความคิดสร้างสรรค์ถดถอย
        หลายบริษัทหันมาให้ความสำคัญกับปัญหานี้มากขึ้น เมื่อ ๓-๔ ปีก่อน อินเทลได้ทดลองให้เช้าวันอังคารเป็นช่วง "สงบ"สำหรับวิศวกรและผู้จัดการ ๓๐๐ คน โดยตลอด ๔ ชั่วโมงดังกล่าวไม่อนุญาตให้พนักงานใช้โทรศัพท์หรือส่งอีเมล์ ทั้งนี้เพื่อให้มีสมาธิกับงาน สามารถคิดการงานต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ปรากฏว่าได้ผลดีจนมีการเสนอให้นำไปใช้กับพนักงานกลุ่มอื่น ๆ ด้วย
        ในระดับบุคคล หลายคนเลือกใช้วิธีปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือ นิตยสารนิวสวีคเมื่อต้นปีนี้ขึ้นปกด้วยเรื่อง "๓๑ วิธีที่ช่วยให้ฉลาดขึ้นและคิดเร็วขึ้น" วิธีหนึ่งที่เสนอก็คือ "โยนสมาร์ทโฟนของคุณทิ้งเสีย" เพราะ "การเช็คอีเมล์อยู่เนือง ๆ นั้นบั่นทอนสมาธิและลดทอนผลิตภาพของคุณ" ควบคู่กับวิธีการดังกล่าวก็คือ การติดตั้งโปรแกรมFreedom ซึ่งช่วยให้จดจ่อกับงานที่อยู่ข้างหน้า
       ทุกวันนี้มีผู้คนเป็นอันมากโหยหาช่วงเวลาที่ปลอดข้อมูลข่าวสาร ปิโค อิเยอร์ นักเขียนชื่อดังของนิตยสารไทม์ พูดถึงเพื่อนนักหนังสีอพิมพ์สองคนที่ถือศีล "อินเตอร์เน็ตวิรัติ"ทุกอาทิตย์ โดยปิดเครื่องมือสื่อสารทุกอย่างตั้งแต่ค่ำวันศุกร์จนถึงเช้าวันจันทร์ เพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวและตัวเองมากขึ้น ส่วนเพื่อนอีกหลายคนนิยมออกไปเดินเล่นไกล ๆ ในวันอาทิตย์เพื่อห่างไกลจากติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์ หรือไม่ก็ออกไปพักแรมในชนบท ที่ซึ่งไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต หลายคนพบว่า สมาธิและความจำดีขึ้น ความคิดแจ่มชัดและเฉียบคมกว่าเดิม
        ปัจจุบันถึงกับมีรีสอร์ตบางแห่งในอเมริกาที่ยกโทรทัศน์ออกไปจากห้อง แม้กระนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากยอมจ่ายคืนละ ๒,๒๐๐ เหรียญเพื่อพักห้องดังกล่าว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในอนาคต สถานที่หรือบริการที่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้อยู่เงียบ ๆ กับตัวเองหรือใกล้ชิดกับคนในครอบครัว จะได้รับความนิยมมากขึ้น
        เดี๋ยวนี้ใคร ๆ มักจะบ่นว่าชีวิตเร่งรีบมากขึ้น มีเวลาว่างน้อยลง และเครียดกว่าเดิม หลายคนโทษสภาพแวดล้อมในเมืองที่วุ่นวาย แต่ลืมมองไปว่า ตนเองก็มีส่วนไม่น้อยที่ทำให้วิถีชีวิตของตนอยู่ในภาวะดังกล่าวเวลาในแต่ละวันไม่เพียงหมดไปกับการทำมาหากินเท่านั้น แต่จำนวนไม่น้อยยังถูกใช้ไปกับการบริโภคสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลข่าวสาร ถ้าเราเพียงแต่บริโภคให้น้อยลง จะพบว่าเรามีเวลาว่างมากขึ้น สุขภาพกายและสุขภาพจิตดีขึ้น ความเครียดน้อยลง
       ข้อมูลนั้นมีประโยชน์ตราบเท่าที่เราเป็นนายมัน สามารถควบคุมมันให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมได้ แต่หากมันกลายเป็นนายเราเมื่อใด ยอมให้มันแย่งชิงเวลาเราไปเท่าไรก็ได้ ชีวิตเราก็ย่ำแย่เมื่อนั้น
                                                             *******
รวมมิตรจาก http://www.visalo.org

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

อาหารที่ควรรับประทานเพื่อลดไขมัน

รวมมิตร
 อาหารที่ควรรับประทานเพื่อลดไขมัน

       
       ไขมัน คือไขของมัน มิใช่ของเรา ดังนัันเมื่ออยู่กับเรา คงต้องให้เขาออกไป หรือไม่ก็หาวิธีการนำเขาเข้าสู่ร่างกายให้ย้อยที่สุดมีหลากหลากหลายวิธี ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไม่ยากที่จะบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง แต่กลับเป็นเรื่องยากในการเลือกรับประทานอาหารไขมันต่ำ ไขมันประเภทที่เรียกว่า “ไขมันชนิดเลว” นั้น สามารถทำร้ายสุขภาพของเราได้มากมาย ต่อไปนี้คือทางเลือกอาหารเพื่อสุขภาพของคุณ ที่มีไขมันต่ำ และต่อไปนี้ก็เป็นอีกวีธี
  1. ข้าวโอ๊ต ขั้นตอนแรกในการดูแลโคเลสเตอรอลในร่างกายของคุณ ด้วยข้าวโอ๊ตหนึ่งถ้วยยามเช้า ซึ่งจะให้ไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ต่อร่างกายของคุณประมาณ 1 – 2 กรัม และจะดีขึ้นมากถ้าเพิ่มสตรอเบอรี่หรือกล้วยเข้าไปในมื้ออาหาร
  2. ข้าวบาร์เลย์ หรือผลิตภัณฑ์จากธัญพืช อาหารเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และให้ไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ ซึ่งช่วยในการขับถ่าย
  3. ถั่วฝักยาว ถั่วฝักยาวอุดมไปด้วยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ที่ช่วยในการขับถ่าย นอกจากนี้ถั่วฝักยาวยังช่วยให้สามารถลดน้ำหนักลงได้
  4. มะเขือยาวสีม่วง และกระเจี๊ยบ พืชทั้งสองชนิดนี้เป็นพืชที่แคลอรี่ต่ำ และอุดมไปด้วยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้
  5. ผลไม้เปลือกแข็ง เช่น ถั่วชนิดต่าง ๆ จากการศึกษาวิจัยชี้ให้เห็นว่าการบริโภคถั่วลิสง หรืออัลมอนด์ หรือวอลนัต ประมาณ 2 ออนซ์ต่อวัน ช่วยลดไขมันแอลดีแอล หรือไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกายได้ถึง 5%
  6. น้ำมันพืช การใช้น้ำมันจากดอกคาโนลา น้ำมันดอกทานตะวัน หรือน้ำมันจากพืชอื่น ๆ แทนการใช้เนย หรือน้ำมันหมู ช่วยลดไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกายได้
  7. แอปเปิ้ล องุ่น สตอรเบอรี่ และผลไม้ตระกูลส้ม ผลไม้จำพวกนี้อุดมไปด้วยเพคทิน ซึ่งก็คือไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
  8. อาหารจำพวกสตีรอยด์และสเตนอล (Sterols and stanols) สตีรอยด์และสเตนอลเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวไรย์ และพืชอื่น ๆ จากธรรมชาติ การบริโภคเพียงวันละ 2 กรัมจะช่วยลดโคเลสตอรอลในร่างกายได้ 10%
  9. ถั่วเหลือง การรับประทานถั่วเหลือง หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ หรือน้ำนมถั่วเหลืองช่วยลดระดับไขมันชนิดเลวในร่างกายได้
  10. น้ำมันตับปลา การรับประทานปลา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์โดยสารโอเมก้า 3 ในน้ำมันตับปลาช่วยลดไขมันชนิดที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้ นอกจากนี้โอเมก้า 3 ในปลายังช่วยลดไตรกลีเซอรีนในกระแสเลือด และช่วยป้องกันการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ
  11. ไฟเบอร์เสริม เป็นการเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ให้กับร่างกายมากขึ้น โดยอาจรับประทานแมงลักประมาณวันละ 2 ช้อนโต๊ะ จะช่วยในระบบการขับถ่ายได้ดี
                                                         ***********
บทความความรู้จากหมอชาวบ้าน
*******
รวมมิตรจาก http://healthy.in.th

 

 

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จัสมินไรซ์: การผจญภัยของข้าวหอมมะลิไทยในสหรัฐอเมริกา เรื่อง อวยพร แต้ชูตระกูล

 ข้าว แม่โพสพ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

       ข้าว ที่เราเราทราบกันว่า เป็นแม่โพสพ เป็นของมีคุณ เป็นพืชที่เลี้ยงชีวิตเผ่าพันธุ์ไทยยั่งยืนมาแต่โบราณกาลจนสืบเชื้อสายอยู่ มากมายในปัจจุบัน เมื่อใดที่อยู่ในสภาพ "ข้าวเหลือเกลืออิ่ม" ประชาชนก็จะมีความสงบสุข แต่เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพง ประชาชนก็จะหน้าดำคร่ำเครียดด้วยความทุกข์ ในเมื่อข้าวมีความสำคัญต่อชีวิตคนไทย คนไทยจึงมีความกตัญญูต่อข้าว ยกย่องข้าวเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าในข้าวมีวิญญาณ ข้าวเรียกว่า "แม่โพสพ" สถิตอยู่ 

     ฉะนั้นผู้เฒ่าผู้แก่จึงสั่งสอนว่ามิให้เหยียบย่ำข้าว มิให้สาดข้าวหรือทำข้าวหก กินข้าวเสร็จแล้วก็สอนให้ไหว้แม่โพสพขอบคุณ แม้การมหรสพของชาวบ้านยามเมื่อร้องบทไหว้ครูก็จะมีการร้องระลึกคุณแม่โพสพ  ข้าวหอมมะลิ แม่โพสพของเรา เนื้อตัวสวย กลิ่นกายหอม ได้ไปปรากฏกายให้ชาวต่างชาติดูความงาม เห็นแล้วต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ แสดงความเห็นแก่ตัว  กักขังไว้ไม่ให้กลับไทย เพื่อทำหน้าที่ของแม่ที่จะเลี้ยงลูกทั้งโลก เราจะช่วยแม่กลับบ้านอย่างไร  คุณอวยพร แต้ชูตระกูล  เขียนไว้ อ่านจบแล้วส่งสารแม่จับใจครับ  แม่รู้ไหมว่า ลูกๆ ของแม่มัวทะเลาะกัน จะช่วยแม่อย่างไร

จัสมินไรซ์: การผจญภัยของข้าวหอมมะลิไทยในสหรัฐอเมริกา


เรื่องโดย อวยพร แต้ชูตระกูล


       เรื่องราวการผจญภัยของข้าวหอมมะลิไทยในประเทศสหรัฐอเมริกา กลายเป็นตำนานที่บทอวสารไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับท่านผู้ชมคนไทยแม้แต่ น้อย
       ปี 2541 คนไทยต้องตกตะลึงกันทั่วหน้า เมื่อรู้ว่า “จัสมาติ” ไม่ได้หมายถึง “ข้าวหอมมะลิของไทย” แต่หมายถึงข้าวสายพันธุ์อื่นที่ปลูกในรัฐเท็กซัส โดยบริษัทไรซ์เทคแห่งสหรัฐอเมริกาได้จดชื่อดังกล่าวเป็นเครื่องหมายทางการ ค้า นำมาซึ่งความเคลื่อนไหวขององค์กรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาไทย หรือไบโอไทย ที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอด โดยระบุว่า การใช้ชื่อเครื่องหมายการค้าว่า จัสมาติ เป็นความจงใจที่ต้องการหลอกลวงให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า ข้าวพันธุ์ดังกล่าวเป็นข้าวหอมมะลิ (Jasmine) ซึ่งประเทศไทยมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกว่า ข้าวหอมมะลิไทยเป็นข้าวพันธุ์ดีที่สุดในโลก และครองตลชาดสหรัฐอเมริกาได้ถึงร้อยละ 75 ของข้าวที่นำเข้าทั้งหมด
       แต่สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ของไทยดำเนินก็คือ หันไปจดชื่อเครื่องหมายทางการค้า “หอมมะลิไรซ์” แทน โดยอ้างว่าหากดำเนินการฟ้องร้องต่อบริษัทไรซ์เทค ก็ไม่มีทางที่จะชนะ อีกทั้งยังต้องเสียค่าใช้จ่ายถึง 20 ล้านบาท
       ต่อมาปี 2544 ข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์ก็สร้างความตื่นตระหนกให้เกษตรกรไทยอีกครั้ง เมื่อรายงานข่าวว่า นักปรับปรุงพันธุ์ข้าวชาวอเมริกันชื่อ ดร.คริส เดเรน ใกล้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมมะลิที่ปลูกในสหรัฐอเมริกา ได้ หลังจากที่เริ่มวิจัยมากว่า 5 ปี ด้วยวิธีการทำให้ยีนของข้าวหอมมะลิกลายพันธุ์ และการผสมข้ามพันธุ์ ทำให้กลายเป็นข้าวลำต้นเตี้ย ตั้งท้องและออกรวงเร็วกว่าข้าวหอมมะลิเดิม
       การถอนเครื่องหมายทางการค้าจึงกลายเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของเกษตรกรไทย ที่มีต่อสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับการเรียกร้องให้ยุติความพยายามในการจดสิทธิบัตรในพันธุ์ข้าวและ พันธุ์พืชจากประเทศโลกที่สาม ภายหลังจากทราบแหล่งที่มาของเมล็ดพันธุ์ข้าวต้นกำเนิดว่ามาจากจากสถาบัน วิจัยข้าวนานาชาติ (International Rice Institute: IRRI) ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศไทยได้ส่งเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวหอมมะลิไปเก็บไว้เป็นตัวอย่างที่ 850 ซึ่ง ดร.เจ นีล รัตเกอร์ ได้นำเมล็ดพันธุ์ข้าวดังกล่าวไปจาก IRRI โดยมี ดร.คริส เดเรน เป็นผู้นำเมล็ดพันธุ์ไปอีกทอดหนึ่ง ทั้งนี้ไม่มีการลงนามในเอกสารส่งมอบพันธุ์ข้าวแต่อย่างใด
       แม้จะปรากฏความพยายามจากกระทรวงพาณิชย์ของไทยในการร่างเอกสารส่งมอบ พันธุ์ข้าว พร้อมระบุว่าห้ามจดสิทธิบัตรพันธุ์ข้าวไทย และห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ เพื่อให้ ดร.คริส เดเรน ร่วมลงนาม แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบรับ

       บทเรียนนี้น่าคิดถึงท่าทีและความกระตือรือร้นของประเทศมหามิตรอย่างสหรัฐ อเมริกาที่มีต่อข้อเรียกร้องเพื่อขอความร่วมมือจากประเทศไทยตลอดระยะเวลา หลายปีเพื่อปกป้องข้าวหอมมะลิของไทย ซึ่งแน่นอนว่าหากนำไปเปรียบเทียบกับความพยายามกดดันให้ประเทศไทยทำตามข้อ เรียกร้องของสหรัฐอเมริกาในการไล่ล่าจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ก็คงจะได้คำตอบแห่งความไม่เท่าเทียมกันอย่างสิ้นเชิง
*******
ที่มา นิตยสารโลกสีเขียว ฉบับพฤษภาคม – มิถุนายน 2547 
http://www.greenworld.or.th

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปีใหม่ มีใจก็มีเวลา

ปีใหม่ มีใจก็มีเวลา 
โดย ดร   


       คนสมัยนี้มักบ่นว่าไม่มีเวลา แต่ที่จริง คนสมัยไหนก็บ่นเหมือนกันว่าไม่มีเวลา แปลว่ามีเวลาเท่าไรไม่ได้อยู่ที่ยุ่งมากแค่ไหน มีอะไรทำมากมายแค่ไหน แต่อยู่ที่การจัดการเวลามากกว่ากระมัง

       ปี ใหม่นี้มีเวลา 365 วันเหมือนกับปีที่แล้ว วันหนึ่งก็มี 24 ชั่วโมงเท่ากัน แล้วทำไมบางคนจึงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพประหนึ่งว่ามีเวลามากกว่าคนอื่น ทำไมบางคนจึงทำงานไม่เสร็จ แม้จะทำวันละมากกว่า 10 ชั่วโมง หอบไปทำที่บ้านจนดึกดื่นเที่ยงคืนก็ยังไม่เสร็จ
        บาง คนทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แต่ก็ทำได้ดีไม่น้อยกว่าหรืออาจดีกว่าคนที่ทำวันละ 16 ชั่วโมง ประเด็นจึงไม่ใช่ปริมาณของเวลาที่ใช้ทำงานอย่างเดียว คงเป็นเรื่องของการจัดการเวลามากกว่า
        การ จัดการเวลา คือ การจัดการชีวิต ถ้าจัดการเป็น ชีวิตลงตัว สมดุล งานก็มีประสิทธิภาพ คนก็ไม่เครียด ไม่ป่วย อยู่ดีมีสุข ไม่ต้องทุกข์ทรมานอดตาหลับขับตานอน กินไม่เป็นเวลา นอนไม่เป็นเวลา แทนที่จะได้นอนวันละ 7-8 ชั่วโมงก็นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง
        จริง อยู่ ถ้านอนอย่างมีคุณภาพ หลับสนิทจริง นอนสัก 4-5 ชั่วโมงดีกว่านอน 7-8 ชั่วโมงแบบหลับไม่สนิท แต่ถ้าทำงานหนักทั้งวัน แล้วนอนเพียง 4-5 ชั่วโมง นอนกับความเครียด ความห่วงงาน แน่ใจได้อย่างไรว่าจะหลับลึกจริง ไม่ใช่หลับไปแล้วฝันร้าย
       หลาย คนงัวเงียตื่นขึ้นมาทำงาน สติสมาธิไม่ดี การทำงานมีปัญหา อาจเกิดอุบัตเหตุในที่ทำงาน ขับรถไปอาจหลับใน ทำงานผิดพลาด อย่างตอนน้ำท่วมที่ผู้ว่ากทม.ประกาศให้คนในเขตปทุมวันอพยพ ทำเอาโกลาหลไปทั้งเขต สองชั่วโมงให้หลังกลับมาประกาศขอโทษว่าบอกผิดไปเพราะมึน (นอนไม่พอ)
       ที่ ร้ายแรงกว่านี้ก็มี เช่น อุบัติเหตุบนท้องถนน ความผิดพลาดของบางอาชีพอย่างแพทย์ที่นอนไม่พอ ทำงานหนัก เครียดจนให้ยาผิด ผ่าตัดผิด และรักษาผิดพลาดจนคนไข้ตายก็มี
        หลายคนอ้างว่า ต้องทำงานแข่งกับเวลา ต้องฉวยโอกาส ต่อไปอาจไม่มีโอกาสแบบนี้อีก เลยทำงานวันละ 18 ชั่วโมง ได้นอนจริงๆ แค่ 3-4 ชั่วโมง และไม่ได้นอนตติดต่อกันทีเดียวก็มี นอนครั้งละ 1-2 ชั่วโมงแบบสะสม อย่างผู้ประกาศข่าวดังๆ ทางทีวีบางคน

       อาจ เป็นได้ที่บางกรณีอาจไม่มีโอกาสอีก แต่ร่างกายของคนเราก็มีขีดจำกัด ต้องการพักผ่อน ต้องการการกินพอดีอยู่พอดี มากไปน้อยไปก็มีปัญหา แน่ใจได้อย่างไรว่า ถ้ารีบเร่งทำทุกอย่างแบบฉวยโอกาสที่อาจไม่มีอีกในอนาคต แล้วจะมีอนาคตให้ได้ใช้ชีวิตอยู่อีกหรือ

       อาจเจ็บป่วยตายเสียก่อน เพราะหักโหมจนร่างกายรับไม่ได้ ประท้วงหรือขบถ ไม่ยอมไม่เอาด้วยอีกต่อไป ขอพัก ขอล้มหมอนนอนเสื่อนั่นเอง และโชคร้ายอาจจะได้นั่งได้นอนยาว ทำงานหนักได้เงินมากมาย จะ “ซื้อ” สุขภาพกลับคืนมาได้หรือ
        บาง คนรีบเร่งทำงานมาก ทำหลายอย่างเพื่อหาเงิน ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ให้ลูกให้ภรรยา ให้สามี จนเกิดปัญหา อาจจะร้ายแรงจนยากจะเยียวยาแก้ไข คนที่เอาแต่ทำงานหาเงิน เลี้ยงลูกด้วยเงิน วันหนึ่งถ้าเกิดลูกติดยา จะเอาเงินที่หาได้ “ซื้อ” ลูกกลับคืนมาได้หรือ
         การ ที่หลายคนชอบบ่นว่าไม่มีเวลานั้น แท้ที่จริงอาจเป็นเพราะจัดการชีวิตไม่เป็น ไม่ลงตัวมากกว่า จัดลำดับความสำคัญไม่ถูก เรียงความสำคัญก่อนหลังไม่ได้แบบคนที่นับหนึ่งถึงสิบไม่เป็น  ถ้านับเป็นและเรียนรู้การจัดการตัวเลข ก็จะบวกลบคูณหารได้
         ชีวิตก็คงเป็นเช่นนั้น เราสามารถจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ในชีวิตได้ ตามลำดับคุณค่าที่เราให้กับสิ่งนั้นๆ
        ทำไม เราจึงมีเวลาเสมอสำหรับคนที่เรารัก สิ่งที่เรารัก  ตอนรักกันใหม่ๆ โทรศัพท์ถึงกันวันละหลายสิบครั้ง ทำอย่างไรจึงจะมีเวลาสำหรับสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตอื่นๆ เช่น ทำอย่างไรจึงจะนอนให้พอกับความต้องการของร่างกาย ถ้าเรารักตัวเองอย่างถูกต้อง รักสุขภาพ เราก็ยกเอาเรื่องการนอนให้พอมาไว้อันดับต้นๆ ไม่ใช่เอาไว้ทีหลังเรื่องอื่นๆ ทำงานดึกดื่นแล้วถึงไปนอนไม่กี่ชั่วโมง
        หลาย คนบอกว่าไม่มีเวลาออกกำลังกายเพราะงานมาก ถ้าหากเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย ก็จะหาเวลาได้เสมอ เพราะรู้ว่าจะทำให้สุขภาพดี และเมื่อแข็งแรงก็จะทำงานได้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอนหลับดี มีสมาธิในการทำงาน ทำงานเพียง 7-8 ชั่วโมงอาจจะดีกว่าคนที่ทำงาน 15 ชั่วโมง
        คน รักสุขภาพ เห็นความสำคัญของการออกกำลังกายอาจมีอาชีพที่ทำให้หาเวลาออกกำลังกายแบบคน ทั่วไปไม่ค่อยได้ เช่น ไม่มีเวลาหรือสถานที่ให้ไปเดินหรือไปวิ่ง ก็อาจจะต้องฝึกการออกกำลังกายในร่มเช่น การรำมวยจีน การทำโยคะ หรือสะสมการเดินแทนการใช้รถ ขึ้นบันใดแทนการใช้ลิฟท์ ไปสนามบินสุวรรณภูมิ ถ้ามีเวลายังเดินได้หลายกิโลเมตรก่อนขึ้นเครื่องเพราะมีทางเดินยาวเหยียด
         ถ้า จัดการเวลาเป็น มีเวลาเสมอสำหรับสิ่งที่เราเห็นว่ามีคุณค่าสำหรับชีวิต มีใจให้กับอะไร เราก็จะมีเวลาให้กับสิ่งนั้น ถ้าไม่มีใจให้เราก็จะทำแบบฝืนใจ ทำเพราะถูกบังคับ เครียด และเป็นทุกข์
        คง ต้องทำให้ได้อย่างที่ปราชญ์เขาบอกว่า คนเก่งไม่ใช่คนที่ได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ แต่ชอบสิ่งที่ตนเองทำมากกว่า เพราะถ้าชอบ หรือมีใจ ก็จะมีเวลาให้สิ่งนั้นเสมอ

       ปี ใหม่นี้เป็นโอกาสดีให้ได้ตั้งหลัก ตั้งใจจัดการชีวิตให้ลงตัวมากกว่าปีที่แล้ว ไปสืบชะตาต่อชีวิตอย่างเดียวคงไม่พอ ต้อง “พึ่งตนเอง” ด้วยการจัดระเบียบชีวิตใหม่ให้ดี อยู่อย่างมีเป้าหมาย มีแบบมีแผน มีการจัดการที่ดี ที่ลงตัว ที่สมดุล
*******
รวมมิตรจาก  http://www.phongphit.com

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อย่าผัดผ่อน

บทความที่เหมาะกับเดือนแห่งความรัก รวมมิตร นำเสนอ
อย่าผัดผ่อน
โดย รินใจ
นิตยสารสารคดี : ฉบับที่ ๓๒๓ :: มกราคม ๕๕ ปีที่ ๒

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต


         พยาบาลผู้หนึ่งเล่าว่า วันนั้นเธอกำลังทำงานอยู่ น้องชายวัยรุ่นมาหาและชวนเธอคุย ทั้งสองคนสนิทกันมาก โดยเฉพาะน้องชายค่อนข้างติดพี่สาว จู่ ๆ น้องชายก็ถามพี่สาวว่า "พี่รักผมไหม ?" แต่เธอกำลังพัวพันกับงาน จึงรู้สึกรำคาญ เลยพูดตัดบทไปว่า อย่ามายุ่งได้ไหม ตอนนี้ไม่ว่าง น้องชายจึงเลิกตอแย สักพักก็ขับรถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน แต่ไม่ทันถึงที่หมาย ก็ประสบอุบัติเหตุ ตายคาที่ เธอใจหายวาบทันทีที่ทราบข่าว แม้ต่อมาจะทำใจได้ที่น้องชายจากไป แต่ทุกวันนี้เธอก็ยังรู้สึกเสียใจ อดโทษตัวเองไม่ได้ว่าทำไมวันนั้นไม่บอกเขาว่า "พี่รักน้อง"
        หญิงสาวอีกรายเล่าว่า เย็นวันหนึ่งลูกพี่ลูกน้องมาขอร้องให้เธอไปนอนเป็นเพื่อน ฟังจากน้ำเสียงแล้ว เธอรู้สึกว่าลูกพี่ลูกน้องคนนั้นมีความทุกข์ใจ แต่ตัวเธอเองมีงานต้องทำ จึงปฏิเสธไป วันรุ่งขึ้นเธอตกใจเมื่อได้ทราบข่าวว่า ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นผูกคอตายในคืนนั้นเอง เนื่องจากน้อยใจที่ถูกพี่สาวด่าว่าอย่างรุนแรง ผ่านไปหลายปีเธอก็ยังรู้สึกผิดที่ปฏิเสธคำขอของลูกพี่ลูกน้อง เหตุร้ายคงไม่เกิดขึ้นหากเธอตอบตกลงในคืนนั้น
        ความเจ็บปวดในชีวิตบางครั้งเกิดจากการที่เราละเลยที่จะทำสิ่งที่ควรทำกับคน ที่เรารัก กว่าจะรู้ตัวว่าได้ทำความผิดพลาดลงไป การณ์ก็สายเกินกว่าที่จะแก้ไขแล้ว ทั้งสองคนที่เล่าเรื่องนี้ได้รับบทเรียนราคาแพงอย่างยิ่งว่า ควรทำดีที่สุดกับคนที่อยู่ต่อหน้าเรา หรือคนที่เรากำลังเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลผู้เป็นที่รักของเรา หาไม่แล้วก็อาจจะต้องเสียใจในภายหลังเพราะไม่มีโอกาสจะทำเช่นนั้นได้อีก
        ตอนนั้นทั้งสองคนยอมรับว่าใจกำลังนึกถึงงาน จึงไม่ได้ให้ความใส่ใจอย่างเต็มที่กับบุคคลที่กำลังสนทนาด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเห็นว่างานนั้นเป็นความรับผิดชอบที่ต้องรีบทำให้เสร็จ ส่วนเรื่องของน้องชายหรือลูกพี่ลูกน้องนั้นผัดผ่อนได้ เอาไว้คุยวันหลังก็ไม่สาย แต่ความจริงอย่างหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนอย่างยิ่ง เห็นหน้ากันอยู่หลัด ๆ ปุบปับก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ความคิดที่ว่าการปฏิบัติต่อคนที่เรารักนั้นผัดผ่อนไปวันหลังก็ได้ นับว่าเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง เพราะเขาอาจไม่อยู่ให้เราทำดีกับเขาก็ได้
        ชายผู้หนึ่งเล่าประสบการณ์คล้าย ๆ กันว่า ระหว่างที่ทำงานต่างจังหวัด ภรรยาโทรศัพท์ทางไกลไปหาเพราะมีความในใจอยากจะสนทนาด้วย ตอนนั้นโทรศัพท์มือถือยังไม่แพร่หลาย ส่วนโทรศัพท์ทางไกลก็นาทีละ๑๒ บาท พอคุยกันได้สักพัก สามีก็ตัดบทว่า ถึงบ้านแล้วค่อยคุยแล้วกัน จะได้ไม่เปลืองค่าโทรศัพท์ ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นภรรยาก็เสียชีวิตด้วยโรคปัจจุบันทันด่วน สามีรู้สึกเสียใจที่ไม่ให้เวลาภรรยาเต็มที่ตั้งแต่คืนนั้น บทเรียนที่เขาได้รับก็คือ หากมีอะไรที่อยากคุย หรือมีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษาหารือ ก็ควรให้เวลาเต็มที่ตั้งแต่ตอนนั้นอย่าผัดผ่อน เพราะอาจไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีก
การทำดีกับใครก็ตาม ไม่เหมือนกับการทำงาน การทำงานนั้นมักมีเส้นตายหรือกำหนดเสร็จ ส่วนการทำดีกับผู้คนนั้นไม่มีกำหนดหมายว่าต้องทำเมื่อนั้นเมื่อนี้ (ยกเว้นวันเกิดหรือวันสำคัญตามประเพณี) ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงมักให้เวลากับการทำงานก่อนส่วนการทำดีกับคนนั้น ผัดไปวันหลังได้ เพราะคิดว่ายังมีเวลา ความคิดเช่นนี้เป็นที่มาแห่งความเสียใจและความรู้สึกผิดกับผู้คนมามากต่อมากแล้ว เพราะวันหลังอาจไม่มีจริงก็ได้ แม้แต่วันพรุ่งนี้ก็เถอะ ภาษิตธิเบตกล่าวไว้น่าคิดมากว่า "ระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้า ไม่มีใครรู้ว่า อะไรจะมาก่อน"
        หากอยากทำดีกับใคร จึงควรรีบทำเสียแต่วันนี้ หรือขณะที่เขายังอยู่ต่อหน้าเรา ใครที่รีบทำขณะที่มีโอกาส อาจจะพบในเวลาต่อมาว่าตนตัดสินใจถูกต้องแล้ว หาไม่ก็อาจจะต้องเสียใจจนวันตาย
        นักศึกษาผู้หนึ่งไปเข้าค่ายอาสาพัฒนา ระหว่างนั้นได้ทะเลาะกับเพื่อนสนิทอย่างรุนแรง ทั้ง ๆ ที่มีสาเหตุจากเรื่องเล็กน้อย วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการทำค่าย เหมือนมีอะไรมาดลใจ เขาจึงขอโทษเพื่อน วันต่อมาเขาได้กลับไปหอพัก แต่เพื่อนผู้นั้นไม่กลับหอ ผ่านไปสามวันก็ยังไม่มีวี่แววของเขา เขารู้สึกผิดสังเกตจึงไปตามหา ปรากฏว่าพบร่างไร้วิญญาณของเขาในสระเนื่องจากถูกฆาตกรรม วันที่ไปงานศพของเพื่อนนั้น พ่อของเพื่อนมากอดเขาเป็นคนแรก เขาเองก็รู้สึกดีใจได้ขอโทษเพื่อนก่อนตาย หาไม่จะรู้สึกผิดไปอีกนาน
        นอกจากการขอโทษแล้ว การแสดงความขอบคุณหรือบอกรัก โดยเฉพาะกับผู้มีพระคุณ เป็นความดีที่ไม่ควรรั้งรอ เพราะโอกาสที่เปิดมานานนั้นอาจปิดกะทันหันอย่างที่นึกไม่ถึงก็ได้ คนจำนวนไม่น้อยมักเห็นว่าการให้เวลากับคนรัก โดยเฉพาะพ่อแม่นั้นเป็นสิ่งที่รอได้ ตอนนี้ขอทำงานสะสมเงินทองก่อน แต่คนที่เสียใจจนยากแก่การไถ่ถอนเพราะคิดแบบนี้ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เนื่องจากพ่อแม่ไม่สามารถอยู่รอจนถึงวันนั้นได้ แม้กระนั้นก็มีหลายคนที่พยายามฝืนกระแส ซึ่งมักลงเอยด้วยการสร้างความทุกข์ให้แก่บุพการี ดังมักปรากฏอยู่บ่อย ๆ ว่า เมื่อพ่อแม่ป่วยหนักอยู่ในระยะสุดท้าย ลูกที่ไม่ค่อยมีเวลามาเยี่ยมหรือดูแลพ่อแม่เลย แทนที่จะปล่อยให้พ่อแม่ไปอย่างสงบ กลับเป็นผู้ที่เรียกร้องให้ยื้อชีวิตของท่านให้นานที่สุด ยอมทุ่มเทเงินมากมายเพื่อนำเทคโนโลยีนานาชนิดมาแทรกแซง ซึ่งมักสร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ท่าน ทั้งนี้เพราะเขาทำใจไม่ได้ที่พ่อแม่จะจากไปโดยที่เขาไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณของท่านอย่างเต็มที่ แต่การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ในลักษณะนั้นกลับเป็นโทษมากกว่าคุณ ใช่แต่เท่านั้นเมื่อพ่อแม่จากไป คนที่ไม่สามารถทำใจได้เศร้าโศกเสียใจเป็นปี ๆ ก็มักจะได้แก่ลูกที่ไม่มีเวลาให้แก่พ่อแม่จนมาได้คิดเมื่อสายไปแล้ว
        วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราไม่รั้งรอที่จะทำความดีกับคนรัก ผู้มีพระคุณ หรือผู้ที่อยู่ต่อหน้าเรา ก็คือ ปฏิบัติกับเขาเหล่านั้นราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาได้อยู่กับเรา เมื่อใดก็ตามที่เราระลึกถึงความจริงว่าพรุ่งนี้ไม่เราหรือเขาอาจจะต้องพรากจากกัน เราจะไม่เอาแต่ใจตัว ทำตามอำเภอใจ ใช้อารมณ์กับเขา หรือเพิกเฉยเขา แต่จะปฏิบัติด้วยความใส่ใจ รับฟังเขาและคำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดต่อเขา ซึ่งไม่เพียงช่วยให้เขามีความสุขเท่านั้น เราเองก็จะมีความสุขด้วยเช่นกันเพราะมีความรู้สึกดีกับเขา ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความสัมพันธ์ที่ราบรื่นกลมกลืน อีกทั้งยังเป็นหลักประกันว่า หากพรุ่งนี้เรากับเขาต้องพรากจากกัน แม้จะมีความเศร้าโศกเสียใจเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่มีความรู้สึกผิดติดค้างใจ อีกทั้งยังจะมีความปลื้มปีติที่ได้ทำดีที่สุดกับเขาแล้ว
        ชีวิตนี้แม้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือปัจจุบันขณะ ดังนั้นหากจะทำความดีก็ควรทำเสียแต่วันนี้หรือเดี๋ยวนี้ โดยเฉพาะกับคนที่อยู่เบื้องหน้าเรา ยิ่งเป็นคนที่สำคัญต่อชีวิตเราด้วยแล้ว อย่ามัวผัดผ่อนหรือรั้งรอ เพราะโอกาสที่เราจะทำดีกับเขานั้น แม้จะมีมากมายเพียงใดในอดีต ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีมากมายในอนาคต พ้นจากวันนี้หรือเดี๋ยวนี้แล้ว โอกาสทองอาจหมดไปเลยก็ได้ ใครจะรู้ 
                              *******
รวมรักจาก http://www.visalo.org

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รักกระจิริด

   ความรักที่แท้จริง

รักกระจิริด

โดย รินใจ 

      
       สมัยนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์แห่งสิเน่หาได้ดีเท่ากับกุหลาบแดง
       แต่ถ้าถอยหลัง ๒๐๐-๓๐๐ ปีก่อน หนุ่มสาวยุโรปกลับเห็นว่า มีสิ่งหนึ่งที่ให้ความรัญจวนใจยิ่งกว่ากุหลาบแดงเสียอีก เดาได้ไหมว่าสิ่งนั้นคืออะไร
      ก็ หมัด ไงล่ะ
      หมัด ที่ว่าไม่ได้หมายความว่ากำปั้น แต่เป็นแมลงที่ชอบเกาะอยู่ตามตัวหมา
      หมัด ที่ว่าไม่ได้หมายความว่ากำปั้น แต่เป็นแมลงที่ชอบเกาะอยู่ตามตัวหมา
      สมัยก่อนแมลงประเภทนี้ยังชอบเกาะอยู่ตามเนื้อตัวของผู้คนด้วย แม้แต่สาว ๆ ก็ไม่เว้น โดยเหตุที่มันชอบดูดเลือดแดง ๆ ของคนด้วย หนุ่ม ๆ จึงหมายปองตัวหมัดที่หากินอยู่กับร่างกายของสาวคนรัก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ มีหนุ่มนักรักหลายคนเกี้ยวพาราสีหญิงสาว ด้วยการเขียนบทกวีสดุดีหมัดของเจ้าหล่อน บางคนถึงกับเอาหมัดของเธอมาเลี้ยงไว้ในกรงทองที่ผูกรอบคอ และยอมให้มันดูดดื่มเลือดของเขา ด้วยความชื่นชม ที่เลือดของตน ไปผสมเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดของเธอในตัวแมลงน้อย ในไซบีเรียว่ากันว่า สาวทอดสะพานให้เจ้าหนุ่ม ด้วยการโยนหมัดของเธอให้เขา อะไรจะโรแมนติกปานนั้น
      แต่หนุ่มสาวยุคใหม่ ฟังเรื่องนี้แล้วเห็นจะโรแมนติกไม่ลง คงผะอืดผะอม ทำนองเดียวกับเวลาที่เห็นพ่อมาก แสดงความรัญจวนใจต่อนางนาก ในหนังของนนทรีย์ นิมิบุตร ด้วยการเอาหมากจากปากของเธอมาเคี้ยวอย่างดูดดื่ม ที่จริงพ่อมากและนางนาก ก็คงจะผะอืดผะอมไม่แพ้กัน หากรู้ว่าคู่รักสมัยนี้ แสดงความรักด้วยการเอาปากประกบกัน และดูดน้ำลายของกันและกัน
      ความรักนั้นเป็นเรื่องนานาจิตตัง ทำนองลางเนื้อชอบลางยา สิ่งที่ยังความรัญจวนใจแก่เราอาจสร้างความรู้สึกตรงกันข้ามแก่ผู้อื่น ซึ่งอยู่ในยุคสมัยหนึ่ง หรืออยู่ในอีกวัฒนธรรมหนึ่งในทางกลับกัน คนสมัยก่อนเขาอาจพิศวาสในสิ่งซึ่งคนสมัยนี้รังเกียจ คงไม่ลืมกันว่าเท้าของหญิงสาวที่ถูกรัดจนเบี้ยวบิดผิดรูปนั้น ในสายตาของชายจีน เมื่อหลายร้อยปีก่อน ถือว่าเป็นเสน่ห์เย้ายวนของหญิงสาวอย่างยิ่ง แต่คนยุคนี้เห็นแล้วพูดไม่ออก
       อย่างไรก็ตาม ความรักไม่ว่าชาติใดภาษาใด จะยุคไหนก็แล้วแต่ ล้วนมีภาษาสากลร่วมกัน ภาษานั้นมีชื่อว่า "การให้" แม้วัตถุที่ยังความสิเน่หาจะมีรูปลักษณ์ต่างกัน แต่เนื้อแท้ของความรักที่แสดงออกมานั้นคือการให้เสมอ และเป็นการให้สิ่งที่ตนเห็นว่ามีคุณค่าต่อทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าคิดว่า จะเอาอย่างเดียว นั่นเป็นได้อย่างมากแค่สิเน่หาอันว่างเปล่าปราศจากแก่นสาร

      การให้อย่างมีคุณค่านั้น ไม่จำเป็นต้องหมายถึง การให้สิ่งซึ่งมีราคาค่างวด หรือให้สิ่งใหญ่โต ทั้งไม่ใช่การเสียสละเยี่ยงวีรกรรมเสมอไป เพียงแค่ให้ความสนใจ ก็สามารถยังความสุขใจให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งได้ ซึ่งก็พลอยทำให้เรามีความสุขไปด้วย "ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข" คือสัจธรรมสากลที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้นานแล้ว
      ความใส่ใจนั้นทรงคุณค่าเสมอ แม้จะเป็นความใส่ใจ ในเรื่องที่เราเห็นว่าเล็กน้อย แต่สำหรับอีกฝ่ายหนึ่ง อาจเป็นเรื่องสำคัญก็ได้ เช่น ความใส่ใจในยามที่เขาหรือเธอเงียบงันหรือรู้สึกหม่นหมอง แม้แต่ในยามที่ประสบความสำเร็จ เขาหรือเธอก็ปรารถนาที่จะมาร่วมรับรู้ความภาคภูมิใจของตนด้วยเช่นกัน
      ความใส่ใจนั้นช่วยให้เราเอื้อเฟื้อต่อกันอย่างจริงใจและเป็นธรรมชาติ อันความเอื้อเฟื้อนั้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็อย่านึกว่าไม่มีความหมาย อย่าว่าแต่กับคนรักเลย แม้แต่กับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ความมีน้ำใจเรื่องเล็กน้อยก็ยังสามารถตราตรึงใจได้ไม่รู้ลืม หากย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ประทับใจในอดีต เราแต่ละคนคงจำได้อย่างชัดเจนถึงความเอื้อเฟื้อของใครบางคนที่เราไม่รู้จัก แม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว เขาอาจไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่า พาเราข้ามถนน ลุกให้เรานั่ง หรือประคองเราให้ลุกขึ้นหลังจากที่พลัดหกล้ม
      มิใช่แต่ความเอื้อเฟื้อที่ได้รับในวัยเด็กเท่านั้น กระทั่งเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ยังมีเรื่องประทับใจทำนองนี้อยู่มากมายมิใช่หรือ บางคนยังจำได้ดีว่ายามหลงทางหรือตกเครื่องบินในต่างแดน น้ำใจของคนแปลกหน้าบางคน ได้ช่วยคลายทุกข์ให้แก่เราอย่างไรบ้าง เธอผู้นั้นอาจเป็นพนักงานสายการบิน ที่ช่วยแก้ปัญหาให้เราอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส เขาอาจเป็นอาสาสมัคร ที่เพียรพยายามอธิบายช่วยเหลือเราทางโทรศัพท์ โดยไม่แสดงความหงุดหงิด ที่เราขอให้เขาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องจากข้อจำกัดทางภาษา
      ในชีวิตจริงของคนเรา โดยเฉพาะในยามที่เราสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกันนั้น ความใส่ใจและน้ำใจในเรื่องเล็กน้อยนั้นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เสมอ มันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเรา แต่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับอีกฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะในยามที่เขากำลังเดือดร้อนหวาดวิตก ทุกข์โศก กังวลใจ ในยามนั้นคนเราอ่อนไหวและเปราะบางมาก ไม่ว่าจะเก่งกล้ามาจากไหนก็ตาม ในยามนั้นความเอื้อเฟื้อแม้เพียงเล็กน้อย กลับกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ประทับใจเขาไม่รู้ลืม

      ความรักที่แท้จริง บ่อยครั้งก็แปลงกายมาในรูปกระจิริด เหมือนตัวหมัดยังไงยังงั้นเลย 
                                                                   ******* 
รวมความรักจาก http://www.khonnaruk.com

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รักคนไกล ระอาคนใกล้

รักคนไกล ระอาคนใกล้
 ภาวัน

“แอม” เสาวลักษณ์ ลีละบุตร เล่าว่าได้พบเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเพิ่งกลับจากการไปปลูกป่า หน้าตาของเธอเบิกบานด้วยความปีติที่ได้ช่วยฟื้นฟูธรรมชาติ เธอพรรณนาถึงคุณประโยชน์มากมายของการปลูกป่า ทั้งบรรเทาโลกร้อน เพิ่มออกซิเจน ให้ร่มเงา ปกป้องหน้าดิน และช่วยให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ฯลฯ เธอยังเล่าถึงนักปลูกป่าอย่าง ด.ต.วิชัย ที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนมากมาย 


       “ดีจังเลย” แอมยินดีกับเพื่อน “ตอนนี้เธอปลูกต้นไม้ที่บ้านเยอะเลยซีท่า”
      เพื่อนทำหน้าเซ็งทันทีแล้วตอบว่า “โอ๊ย ใครจะไปกวาดใบไม้ไหว ร่วงอยู่ได้ เลยตัดทิ้งไปแล้ว” รักป่ารักต้นไม้ทั่วทั้งโลกนั้น บางครั้งกลับง่ายกว่ารักต้นไม้ในบ้าน เราพร้อมจะไปปลูกป่าทั่วทุกหนแห่ง แต่คร้านที่จะดูแลต้นไม้ในบ้าน ปลูกป่านอกบ้านไม่ใช่เรื่องยาก แค่หย่อนกล้าไม้ลงหลุมแล้วกลบ จากนั้นก็กลับบ้านได้เลย แต่ปลูกต้นไม้ที่บ้านสิ เรายังต้องรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยนานนับปี ครั้นต้นไม้เติบโตสูงใหญ่ ก็ยังต้องเสียเวลากวาดใบไม้ร่วงไม่หยุดหย่อน วันดีคืนดีกิ่งไม้อาจตกมากระแทกหลังคาเป็นรู
       เป็นเพราะต้นไม้นอกบ้านให้แต่สิ่งดี ๆ มีแต่สิ่งที่น่าชื่นชม ไม่เป็นภาระแก่เราเลย เราจึงรักเขาได้ง่าย ส่วนต้นไม้ในบ้านนั้นเรียกร้องการดูแลเอาใจใส่จากเรา แถมยังอาจก่อปัญหาให้ด้วย หลายคนจึงมองเห็นแต่ข้อเสียของเขา จนรู้สึกระอาขึ้นมา
      เป็นเพราะเหตุผลเดียวกันนี้หรือเปล่า ผู้คนเป็นอันมากจึงรักและชื่นชมคนอื่นได้ง่ายกว่าคนในบ้าน เราเห็นแต่ความดีของคนไกลตัวเพราะเขาไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเราเลย ส่วนคนในบ้านนั้นอยู่ใกล้กับเรามากเกินไปจึงเห็นแต่ข้อเสียของเขา หรือเห็นเขาเป็นภาระที่ต้องดูแลเอาใจใส่จนกลบข้อดีของเขาไปเกือบหมด ผลก็คือเรามักสุภาพอ่อนโยนกับคนไกล แต่มึนตึงฉุนเฉียวง่ายมากกับคนใกล้ตัว
        ลองมองให้เห็นคุณประโยชน์หรือความดีของต้นไม้ในบ้านบ้าง เราอาจจะรักเขาได้ง่ายขึ้น หลายคนมาเห็นประโยชน์ของต้นไม้ในบ้านก็หลังจากที่โค่นจนเหลือแต่ตอ แต่นั่นก็สายไปแล้ว จะไม่ดีกว่าหรือหากเรารู้จักชื่นชมเขาขณะที่ยังอยู่กับเรา
      กับคนในบ้านก็เช่นกัน เราควรหัดชื่นชมคุณความดีของเขาบ้าง ที่แล้วมาเราอาจมองข้ามไปเพราะคุ้นชินความดีที่เขาทำกับเราจนมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพลงที่แสนไพเราะ หากได้ฟังทุกวันทุกคืนก็กลายเป็นเพลงดาษ ๆ ไม่มีเสน่ห์สำหรับเรา ฉันใดก็ฉันนั้น คำพูดที่ไพเราะของภรรยา น้ำใจของสามี หรือความใส่ใจของพ่อแม่ หากเราได้ยินได้ฟังหรือได้รับติดต่อกันเป็นปี ๆ หรือนานนับสิบปี ก็กลับกลายเป็นสิ่งสามัญจนเรามองไม่เห็นความสำคัญ ไม่ต่างจากอากาศที่เราไม่ค่อยเห็นคุณค่าทั้ง ๆ ที่ขาดมันไม่ได้เลย
        น่าแปลกก็ตรงที่หากคนใกล้ตัวทำผิดพลาดหรือสร้างความไม่พอใจแก่เรา แม้เพียงครั้งเดียว การกระทำนั้น ๆ กลับฝังใจเราได้นานหรือลึกกว่าความดีที่เขาทำกับเรานับร้อยนับพันครั้ง ใช่หรือไม่ว่าเวลาเขาทำดีกับเรา เรามองว่านั่นเป็น “หน้าที่ของเขา” หรือเป็น “สิทธิที่เราควรได้รับ”แต่เมื่อใดที่เขาทำไม่ดีกับเรา ทำให้เราไม่พอใจ เรากลับมองว่าการกระทำเช่นนั้นเป็น “สิ่งที่ไม่สมควร” เป็นเรื่อง “ไม่ธรรมดา” ดังนั้นจึงฝังใจเราได้ง่ายกว่า อันที่จริงเขาอาจไม่ได้ทำผิดพลาดเกินวิสัยปุถุชน แต่ความที่เรามักจะมีความคาดหวังสูงจากคนใกล้ชิด ความผิดพลาดของเขาแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เราหัวเสีย ขุ่นเคือง หรือน้อยเนื้อต่ำใจได้ง่ายและนาน
      คนในบ้านหรือคนใกล้ตัวนั้น ไม่ว่าจะดีแสนดีเพียงใด ก็ย่อมมีวันที่ต้องกระทบกระทั่งกับเราบ้าง แต่หากเราไม่ฝังใจอยู่กับเหตุการณ์เหล่านั้น หันมามองและชื่นชมคุณความดีของเขา เปิดใจรับรู้ความรักที่เขามีต่อเรา เราจะรักเขาได้ง่ายขึ้น และตระหนักว่าเขามีความสำคัญต่อชีวิตของเรายิ่งกว่าคนไกลตัวเสียอีก อย่ารอให้เขาจากไปเสียก่อนถึงค่อยมาเห็นคุณค่าของเขา ถึงตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว
       อะไรก็ตามยิ่งอยู่ใกล้ตัวมากเท่าไร เราย่อมหน่ายแหนงและระอาได้ง่ายมากเท่านั้น เพราะใจที่ชอบเห็นแต่แง่ลบมากกว่าแง่บวก มิใช่แค่ต้นไม้ในบ้าน หรือคนในบ้านเท่านั้น หากยังรวมถึงทรัพย์สมบัติในบ้านด้วย แต่นั่นยังไม่ใกล้เท่ากับร่างกายและจิตใจของเราเอง ไม่ว่าสวยเท่าใดก็ยังเห็นแต่ความไม่งามของตัวเอง ไม่ว่าจะทำดีเพียงใดก็ยังเห็นแต่ตัวเองในแง่ร้าย คนที่เกลียดตัวเองนั้นทุกวันนี้มีมากมาย ยิ่งรักก็ยิ่งเกลียดเพราะไม่ดีอย่างที่หวัง ยิ่งยึดติดคาดหวังกับความสมบูรณ์พร้อม ก็ยิ่งเห็นแต่ความพร่องของตนเอง
      ลองมองให้เห็นความดีของตัวเองบ้าง ให้อภัยกับความผิดพลาด ยอมรับความไม่สมบูรณ์พร้อม ใช้สิ่งที่มีอยู่แม้น้อยนิดเพื่อการสร้างสรรค์สิ่งดีงาม แล้วคุณจะรักตัวเองได้มากขึ้น
*******
รวมรักจาก http://www.visalo.org

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เกษตร 3 ยิ้ม ธงชัยนำไทยสู่อาเซี่ยน

       เกษตรปราณีต-1-ไร่ไม่แพ้
จาก เกษตรกร.คอม



       เราต้องคิดว่า เราคือ ผู้แพ้สงครามเกษตรเชิงเดี่ยว ใช้สารเคมีจนดินเสื่อมหมดแล้ว เป็นหนี้สินพ้น   ตัว หนีมาพื้นแผ่นดินใหม่ มีพริก มะเขือ ผักชนิดต่าง ๆ ไก่บ้าน ปลาในบ่อ เป็นพลทหาร จะระดมพลออกรบเมื่อไหร่ก็ได้มีพืชสมุนไพร ผักพื้นบ้านเป็นยา ใช้รักษายามเจ็บไข้ มีลูกยอ กล้วย เป็นนายสิบ มีไผ่เป็นนายร้อย มียางนา ตะเคียนทอง เป็นนายพัน นายพล โดยมีเจ้าของสวนเป็นจอมทัพ สะสมกำลังอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ เพียงหนึ่งไร่ ไม่ต้องหวังรำรวย เอาแค่พออยู่พอกิน หวังสร้างทรัพย์สินทางปัญญาเป็นมรดกให้ลูกหลาน ทำอย่างนี้เท่านั้น ที่จะนำพาชีวิตครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติไปสู่ชัยชนะได้”
        นี่คือ คำพูดของพ่อคำเดื่อง ภาษี ปราชญ์ชาวบ้าน แห่งอำเภอแดนดง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่เปรียบเปรยให้เห็นถึงแนวทางการทำเกษตรปราณีตหนึ่งไร่ ซึ่งรัฐบาลชูให้เป็นแนวทางหนึ่งของการแก้ไขปัญหาความยากจน
        พ่อคำเดื่อง เล่าให้ฟังว่า ก่อนจะทำเกษตรปราณีตหนึ่งไร่ ก็ทำเกษตรธรรมชาติในพื้นที่ 50 ไร่ มาก่อน ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก ตั้งแต่การปลูกไผ่ ขุดบ่อเลี้ยงปลา ปลูกพืชนานาชนิด ซึ่งชีวิตก็อยู่ได้อย่างมีความสุข
       “ช่วงนี้สถานการณ์ด้านหนี้สิน และความล้มเหลวจากเกษตรเชิงเดี่ยวมันรุนแรงขึ้น ก็มาคิดว่า จะทำอย่างไรให้คนที่จะหนีจากวงจรอุบาตของเกษตรเคมี ได้เห็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น ครั้นจะให้ดูการทำในพื้นที่ขนาดใหญ่ บางคนก็ท้อ ทำไม่ไหวแน่ ๆ ก็มาคิดถึงการทำเกษตรปราณีต 1 ไร่”
       “ใครมีพื้นที่เท่าไหร่ก็แล้วแต่ ก็ให้กัน 1 ไร่ มาทำเกษตรปราณีต โดยคนที่จะเข้าสู่โครงการเกษตรปราณีตจะต้องมีการปรับตัวจัดการใน 4 แนวทางด้วยกัน”
   ประการแรก ต้องปรับแนวคิดเสียใหม่ ในทุก ๆ เรื่อง ทั้งแนวคิดการทำเกษตรที่พึ่งพาทางธรรมชาติ และภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่พึ่งการตลาด ปรับชีวิตให้พออยู่พอกิน ไม่หวังผลอย่างรวดเร็ว และอีกหลาย ๆ อย่าง
        พ่อคำเดื่อง บอกว่า การปรับแนวคิดนี้สำคัญที่สุด และทำยากที่สุด เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านถึงกับตั้งเป็นไฟท์บังคับที่จะต้องทำเราเรียกว่า การอบรม “วปอ. ภาคประชาชน” เน้นหนักไปในทางปรับแนวคิดด้านการเกษตรก่อนลงมือทำ แต่ถ้าใครปรับได้ก็จะเกิดแรงบังดาลใจ ทำงานอย่างแข็งขัน ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย
         ประการถัดมา ต้องจัดการกับความรู้ด้านดิน น้ำ และพืชเสียใหม่ ความรู้สมัยใหม่ที่เราหลงไหลมานาน มักจะบอกว่า การปลูกพืชแต่ละต้นต้องมีระยะห่าง ต้องดายหญ้า ต้องอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย แต่ที่ธรรมชาติสอนเรานั้น บอกว่าไม่ต้องถึงขนาดนั้น สมมติว่า เราปลูกกล้วย โคนกล้วย เราก็ปลูกพริก
        ปลูกมะเขือ หรือปลูกไม้ยืนต้นอย่างตะเคียนทอง ยางนา ฯลฯ พืชแต่ละอย่างป้องกันแดดให้กันและกัน ดูดน้ำและธาตุอาหารที่ต่างกัน และยังเป็นการจัดการที่ดินทุกตารางนิ้ว ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
        “อย่างเรารดน้ำลงไป พวกพริก มะเขือ มีรากอยู่ผิวดิน ก็จะดูดน้ำผิวดินไปใช้ ก่อนที่น้ำจะซึมไปให้พวกตะเคียนทองได้ดูดกิน พวกหญ้าก็เหมือนกันไม่ต้องถอน มันไม่ได้แย่งอาหารหรอก แต่จะป้องกันไม่ให้น้ำระเหยเร็วกว่าปกติ เวลาตายก็กลายเป็นปุ๋ยอีก” พ่อคำเดื่องแจงเรื่องการจัดการน้ำให้ฟัง
        เกษตรปราณีต 1 ไร่ ดำเนินงานโดยชาวบ้านเครือข่ายภูมิปัญญาไทย สนับสนุนงบประมาณโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
        ปราชญ์จากบุรีรัมย์ เล่าอีกว่า นอกจากนี้ เรื่องสมุนไพรและผักพื้นบ้านเป็นเรื่องที่เราคำนึงถึงเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้ คนรู้จักผักไม่กี่ชนิด เฉพาะที่วางจำหน่ายในห้าง ซึ่งไม่ค่อยแน่ใจเรื่องความปลอดภัย แต่ที่นี่ทุกอย่างปลอดภัย เพราะเราปลูกเอง เราปลูกแบบธรรมชาติ
     พ่อคำเดื่อง ชี้ไปที่ต้นยางนา และตะเคียนทอง แล้วพูดว่า “มีคนอาชีพไหนบ้างที่กล้าพูดว่า ในอนาคตลูกหลานจะมีบ้านที่สร้างจากไม้ตะเคียนทอง แต่เราพูดได้ เพราะเราปลูกมันขึ้นมาเอง มีใครบ้างที่กล้าพูดว่า ได้สร้างอนาคตที่มั่นคงปลอดภัยให้กับลูกหลาน แต่พวกเราที่ทำเกษตรปราณีตหนึ่งไร่กล้าพูด”
       ด้านนายสำเริง เย็นรัมย์ ชี้ให้ดูพืชนานาชนิดในแปลงเกษตรปราณีต ที่ตนลงแรงมาร่วมปีกว่า พื้นที่รอบ ๆ สระจะปลูกผักบุ้ง และพืชพื้นบ้าน ถัดมาก็ปลูกมะระ ผักหวาน กล้วย และพืชต่าง ๆ อีกหลายชนิด ทุกวันจะขายผักได้วันละไม่ต่ำกว่า 300 บาท โดยมีคนมารับซื้อถึงสวน และยังมีตลาดปลอดสารพิษในหมู่บ้านอีกด้วย
        “เมื่อก่อนตนเป็นคนกินเหล้า ดูดบุหรี่ แต่พอหันมาทำเกษตรปราณีต ทำงานอย่างเพลิดเพลิน จนลืมดูดบุหรี่ไปเลย ตอนนี้ก็เลิกได้แล้ว ตอนเช้าลูก เมีย ก็มาช่วยเก็บผัก พูดคุยกันอย่างมีความสุข ผมว่ามีน้อยคนที่มีความสุขเท่าผม”
        “อยากให้ลูกหลานคนรุ่นหลังได้เรียนรู้ ก็บอกลูกให้ชวนเพื่อน ๆ นักเรียนมาเที่ยวที่สวน ก็มากันครั้งละหลายคน มาตกปลาในบ่อ ปิ้งปลา ตำส้มตำกินกัน แล้วแจกพันธุ์ไม้ให้ทุกคนไปปลูกที่บ้าน เราตั้งใจว่า เด็ก ๆ จะกลับไปชวนพ่อแม่หันมาทำเกษตรปราณีต”
ส่วนนางกตัญชลี เกล้าพิมพ์ เล่าว่าเมื่อก่อนตนกับสามี ทำงานรับจ้างอยู่ในโรงงาน ทำถุงมือในตัวเมือง มีรายได้รวมกันตกเดือนละเกือบ 20,000 บาท แต่ก็หมดไปกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งกินอยู่ ค่าเช่าบ้าน ฯลฯ ก็เลยกลับมาอยู่บ้าน พร้อมหนี้สินติดตัวร่วม 200,000 บาท
       “ทราบข่าวว่า เขามีการอบรม วปอ. ภาคประชาชน ก็เข้าไปอบรมกับเขาด้วย พออบรบเสร็จก็ลงมือทำเลย จำได้ว่า ตอนนั้นฟิตมากถึงกับไปขุดยางนา ตอนกลางคืน เพื่อนำมาปลูก แรก ๆ ก็ปลูกในพื้นที่หนึ่งงานรอบ ๆ บ้าน ตอนหลังก็หันมาทำปราณีตหนึ่งไร่ ปลูกทุกอย่างทั้งผัก ชนิดต่างๆ พืชบ้าน กล้วย ไม้ยืนต้น พวกยางนา ตะเคียนทอง ตอนนี้พืชล้มลุกให้ผลผลิตแล้วหลายรุ่น อีกทั้งยังมีรายได้จากการเพาะชำยางนาและพืชต่าง ๆ ขาย สามารถนำเงินไปปลดหนี้ได้แล้วแสนกว่าบาท คาดว่า หนี้ที่เหลือจะหมดในไม่ช้านี้”
        พ่อคำเดื่อง เล่าเพิ่มเติมอีกว่า แนวทางการทำเกษตรปราณีต เป็นการหันไปหาปัญญาดั้งเดิม ต้องเร่งทำในตอนนี้ หากคนรุ่นเราล้มหายตายจาก ก็จะไม่มีมรดกด้านความรู้ ตกทอดถึงลูกหลาน ตอนนี้เรามีแปลงนำร่อง 250 แปลง ทั่วทั้งภาคอีสาน ทุกเดือนเราจะประชุมกัน แลกเปลี่ยนความรู้กัน นำพันธุ์ไม้แปลก ๆ มาแลกกัน เราจึงได้ความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
        เรื่องนี้ต้องทำให้เป็นกระแส เราตั้งเป้าหมายไว้ว่า ภายในปี 2560 ทั่วทั้งภาคอีสาน น่าจะมีพื้นที่เกษตรปราณีต 1 ล้านครอบครัว หรือประมาณหนึ่งใน 10 ของประชากรในภาคอีสาน
       “ไม่น่าเชื่อว่า ทรัพยากรทุกอย่างที่สั่งสมมานับล้าน ๆ ปี ไม่ว่า ดิน น้ำ ป่า แร่ต่าง ๆ ถูกใช้หมดโดยคนที่มีชีวิตอยู่ในช่วง 100 ปีนี้เอง ไม่ค่อยมีคนคิดถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ว่าจะอยู่กันอย่างไร ดังนั้น ที่เรามาทำเกษตรปราณีต 1 ไร่ เท่ากับ เรามาร่วมกันสร้างมรดกให้กับลูกหลาน ทั้งมรดกความรู้ด้านการเกษตร ความรู้ด้านด้านการครองตนที่ดินที่สมบูรณ์ และวิถีชีวิตที่ดีงาม 
*******
http://www.kasedtakon.com

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

HAIR CUT หนี้

 HAIR CUT หนี้ 
โดย ชูชาติ คงครองธรรม 


       ขอนำเสนอเป็นเรื่องของคุณปุง ชมยิ่ง  ที่เป็นหนี้ของธนาคารกรุงไทยประมาณ  60,000 บาท และได้รับหมายศาลซึ่งคุณปุงก็เป็นประชาชนอีกท่านหนึ่งที่ไม่มีความรู้ในด้าน กฎหมายเมื่อได้รับหมายศาลแล้วก็ไมทราบว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร
      ซึ่งเรื่องนี้ทางศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคมีคำอธิบายให้ดังนี้  เมื่อมีหมายศาลมาถึงบ้านประการแรกให้ตรวจสอบรายละเอียดในหมายศาลว่าจะต้อง ฟ้องที่ศาลไหน กำหนดวันขึ้นศาลเมื่อไร ตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับยอดหนี้ของคุณที่ทางเจ้าหนี้ยื่นฟ้องว่ามีมูล หนี้เท่าไหร่ เงินต้นเท่าไรยอดฟ้องบวกดอกเบี้ยเป็นเงินกี่บาท  ขั้นต่อมาก็ต้องตรวจสอบดูว่าทางเจ้าหนี้ฟ้องเกินอายุความหรือไม่ นั่นคือเป็นบัตรเครดิตมีอายุความ 2 ปี นับจากวันชำระหนี้ครั้งสุดท้าย และจะต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการสู้คดีอย่างไรหรือจะทำการต่อรองกับทางเจ้า หนี้อย่างไร
       หลังจากตรวจสอบรายละเอียดของหมายศาลแล้วขั้นตอนต่อไปก็คือ เลือก วิธีแก้ปัญหาอย่างไรต่อไป  เช่นในกรณีที่ต้องการระยะเวลาในการเก็บเงินก็ต้องยื่นคำให้การต่อสู้หรืออาจ จะไปไกล่เกลี่ยในวันที่ศาลนัดโดยขอผ่อนชำระเป็นงวดและขอให้หยุดดอกเบี้ยใน ระหว่างการชำระหนี้และให้ทำบันทึกโจทก์- จำเลย ที่ศาล โดยระบุจำนวนงวดที่จะต้องชำระและการชำระเงินก็จะต้องจ่ายบัญชีเจ้าหนี้เท่า นั้น
        บางคนอาจสงสัยว่า คำให้การ คืออะไร ก็ขออธิบายในตอนนี้เลยว่า  เป็น การทำข้อมูลแก้ต่างเพื่อแสดงรายละเอียดหักล้างหรือยกข้อต่อสู้ เพื่อหักล้างตามที่เจ้าหนี้ยื่นฟ้องมานั่นเอง โดยอาจจะให้ทนายยื่นคำให้การต่อสู้ในศาล / หรือผู้ร้องสามารถเขียนเป็นถ้อยคำข้อเท็จจริง
         ในขั้นตอนสุดท้าย  เพราะคุณจะสามารถยืดระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปอีกประมาณ 6 เดือน- 1 ปี  เพื่อจะได้มีระยะเวลาในการเก็บเงิน คุณสามารถเจรจากับทางเจ้าหนี้ได้เพื่อปิดบัญชีหนี้ก่อนขึ้นศาลได้ กรณีที่คุณมีเงินก้อนที่เก็บไว้เมื่อคุณหยุดชำระหนี้  หากคุณสามารถนำเงินก้อนมาปิดได้ก็ควรทำ  ซึ่งในกรณีนี้เราเรียกว่า  HAIR  CUT   แต่ก็ต้องให้ทางเจ้าหนี้ออกจดหมายยืนยันการปรับลดยอดหนี้และระบุวันที่ชำระ หนี้ หลังจากนั้นก็ให้ทางธนาคารออกหนังสือยืนยันยอดหนี้และระบุวันที่ชำระหนี้  หลังจากนั้นก็ให้ธนาคารออกหนังสือยืนยันยอดหนี้ให้เป็น ศูนย์  แต่จะต้องได้รับจดหมายยืนยันการปรับลดยอดหนี้ก่อนที่จะชำระหนี้  ถ้าไม่มีใบปรับลดยอดหนี้ห้ามชำระหรือโอนเงินเข้าไปเป็นอันขาด
         สุดท้ายนี้ผู้เขียนหวังว่าผู้ที่อ่านและไม่มีความรู้ทางด้านกฎหมายจะได้ ประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อย เพื่อที่จะนำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติเมื่อมีหมายศาลมาถึงบ้านคุณ
********
แหล่งข้อมูลจาก http://www.consumerthai.org

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

ทำประกันทางโทรศัพท์ ระวังอย่าปัดความรำคาญด้วยคำว่า ตกลง

 ทำประกันทางโทรศัพท์ ระวังอย่าปัดความรำคาญด้วยคำว่า ตกลง
โดย ชูชาติ คงครองธรรม 


         เรื่องที่มีคนสอบถามกันมามากพอสมควรถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องของบัตรเครดิตโดย ตรง แต่ข้อมูลที่พวกนี้ได้มาก็ได้มาจากบัตรเครดิตและเรื่องที่จะกล่าวถึงใน วันนี้ก็คือเรื่อง การทำประกันทางโทรศัพท์
       มีบริการอยู่ชนิดหนึ่งที่มักจะถูกเสนอขายทางโทรศัพท์ ก็คือ การขายประกัน ซึ่งผู้ที่ถูกเสนอมักจะเป็นผู้ถือบัตรเครดิต ซึ่งพวกบริษัทประกันจะได้ข้อมูลลูกค้าจากบริษัทผู้ให้บริการบัตรเครดิต  และจะมีการเชิญชวนให้ซื้อประกัน

         ลักษณะการขายประกัน
         การขายประกันที่นิยมกันมากน่าจะเป็นประกันเกี่ยวกับการประกันอุบัติเหตุและประกันชีวิต โดย
ที่ผู้ รับโทรศัพท์มักจะได้รับการพูดจาหว่านล้อม ว่าการซื้อประกันทางโทรศัพท์เบี้ยประกันจะต่ำประมาณ 100-200 บาทและจะได้รับเงินถึง 100,000-500,000 บาท  บริษัทประกันหลายรายใช้โทรศัพท์เข้าไปที่เบอร์ของผู้บริโภคและชักชวนให้ทำประกันชีวิต  โดยการอ้างถึงสิทธิประโยชน์มากมาย เมื่อ ผู้บริโภคเกิดความรำคาญอาจจะตัดบทไปว่า ตกลง ครับหรือ ค่ะ เพียงแค่คำเดียวเท่านั้นก็จะมีการบันทึกเสียงเอาไว้ว่าผู้บริโภครายนั้นได้ สมัครบริการประกันชีวิตแล้ว
        เพราะฉะนั้นจงจำไว้ว่าอย่าตอบรับโดยใช้คำว่า สนใจหรือตกลง เพราะจะถือว่าสัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว ขอให้ยืนยันคำเดียวง่าย ๆ ว่า ไม่ หรือ อาจจะให้เขาส่งตัวแทนมาพบเพื่อให้อธิบายผลประโยชน์ต่าง ๆ จะดีกว่าถ้าเราสนใจอย่าเพิ่งไปรับปาก  แต่ถ้าหากมีการตอบตกลงไปแล้วเราจะมีวิธีการทำอะไรได้บ้างสำหรับผู้บริโภค
         ยกเลิกประกันทำอย่างไร
         อย่าลืมครับว่าผู้บริโภคมีสิทธิที่จะปฏิเสธได้หรือบอกยกเลิกสัญญาได้หากไม่ได้รับกรมธรรม์  หรือไม่พึงพอใจภายใน 15 วัน ซึ่งผู้รับอาจจะทำเป็นจดหมายแบบตอบรับทางไปรษณีย์ก็ได้และทำสำเนาไว้เป็นหลักฐาน ที่ต้องทำอย่างนี้ก็เพราะเหตุว่า เมื่อคุณตอบตกลงไปแล้วและเปลี่ยนใจจะขอยกเลิกคุณจะไม่สามารถติดต่อกลับได้เลย
         นอกจากนี้ยังมีพวกแก็งค์มิจฉาชีพหลอกขายประกันทางโทรศัพท์มากมายโดยอ้าง การเก็บเบี้ยถูก คุ้มครองสูง แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วกับเคลมประกันไม่ได้หรือติดต่อไม่ได้ ลองคิดดูว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นหน้าตาคุณก็ไม่เคยเห็น สำนักงานอยู่ไหนก็ไม่รู้ และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นใครจะจัดการให้กับคุณ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะตัดสินใจตอบรับควรขอกรมธรรม์มาศึกษาดูก่อน 15 วัน หากไม่พอใจสามารถยกเลิกได้  ย้ำต้องทราบข้อมูลของตัวแทนขายให้ละเอียด ถ้าไม่แน่ใจโทรเช็ค 1186 สายด่วนประกันภัย ของ คปภ. เพื่อความชัวร์นะครั
*******
รวมมิตรจาก http://www.consumerthai.org

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

สิทธิผู้บริโภคไทย...ทำไมไม่เทียมเท่าสากล

      สิทธิผู้บริโภคไทย...ทำไมไม่เทียมเท่าสากล 

Webmaster Consumerthai

 

        สิทธิเป็นสิ่งใครก็ต้องการแต่หาทราบไม่ว่า สิทธิย่อมควบคู่กับหน้าที่ คำว่า สิทธิ หมายถึง ประโยชน์ทีกฎหมายรับรองและคุ้มครองให้ เช่น สิทธิที่จะอยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ถูกสุขลักษณะ ปราศจากสภาวะที่เป็นพิษ ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยในการบริโภคอาหาร ตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร เป็นต้น จึงอาจกล่าวได้ว่าสิทธิมีขึ้นตามที่กฎหมายรับรองและคุ้มครอง การคุ้มครองผู้บริโภคของไทยได้ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิผู้บริโภค โดยมีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 57 วรรคหนึ่งว่า สิทธิผู้บริโภคย่อมได้รับการคุ้มครองทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2541 ได้รับรองสิทธิผู้บริโภคไว้ 5 ประการคือ 

    สิทธิผู้บริโภคไทย

  1. สิทธิที่จะได้รับข่าว สารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอ เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ได้แก่สิทธิที่จะได้รับการโฆษณา หรือการแสดงฉลากตามความเป็นจริงและปราศจากพิษภัยแก่ผู้บริโภค รวมตลอดถึงสิทธิที่จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ อย่างถูกต้องเพียงพอที่จะไม่หลงผิด ในการซื้อสินค้าและรับบริการโดยไม่เป็นธรรม
  2. สิทธิที่จะมีอิสระในการ เลือกหาสินค้าหรือบริการได้แก่ สิทธิที่จะเลือกซื้อสินค้าหรือรับบริการโดยความสมัครใจของผู้บริโภคและ ปราศจากการชักจูงใจอันไม่เป็นธรรม
  3. สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจาก การใช้สินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับสินค้าหรือบริการที่ ปลอดภัย มีสภาพและคุณภาพได้มาตรฐานเหมาะสมแก่การใช้ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สิน ในกรณีใช้ตามคำแนะนำหรือระมัดระวังตามสภาพของสินค้าและบริการนั้นแล้ว
  4. สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับข้อสัญญาโดยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบธุรกิจ
  5. สิทธิ ที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย ได้แก่สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองและชดเชยความเสียหาย เมื่อมีการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ตามข้อ 1 , 2 ,3 และ 4 ดังกล่าว

     การ คุ้มครองผู้บริโภคในระดับสากลได้มีการรับรองสิทธิผู้บริโภคไว้โดย สหพันธ์องค์กรผู้บริโภคสากล (Consumers Internationnal หรือ CI ) ซึ่งมีความครอบคลุมในการคุ้มครองผู้บริโภคมากกว่าสิทธิผู้บริโภคของไทย ซึ่งได้รับรองสิทธิผู้บริโภคสากลไว้ 8 ข้อ คือ


    สิทธิผู้บริโภคสากล

  1. สิทธิ ที่จะเข้าถึงสินค้าและบริการที่จำเป็นขั้นพื้นฐาน ( The right to basic need ) เช่น ยา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย การดูแลสุขภาพ การศึกษาและสุขาภิบาล
  2. สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าและบริการ ( The right to safety)
  3. สิทธิที่จะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนที่จำเป็นเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ(The right to be information )
  4. สิทธิที่จะเลือกซื้อสินค้าและบริการได้อย่างอิสระ ( The right to choose )
  5. สิทธิที่จะร้องเรียนเพื่อความเป็นธรรม ( The right to be heard )
  6. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและค่าชดเชยความเสียหาย ( The right to redress)
  7. สิทธิที่จะได้รับความรู้เกี่ยวกับการบริโภค ( The right to consumer education )
  8. สิทธิที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย ( The right to healthy environment )

    จาก ความแตกต่างในการรับรองสิทธิผู้บริโภคของไทยและสากลองค์กรเอกชนที่ ดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคในไทยจึงเสนอให้มีการเพิ่มเติมสิทธิผู้บริโภคจาก เดิม เนื่องจากจากประสบการณ์ในการทำงานทำให้พบข้อสรุปว่ากฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ในไทยยังรับรองสิทธิของผู้บริโภคไว้จำกัดเกินไป และไม่เท่าทันสถานการณ์ปัญหาผู้บริโภค หากมีการเพิ่มเติมสิทธิผู้บริโภคในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภคของไทย จะเป็นการขยายขอบเขตสิทธิของ ผู้บริโภคให้ครอบคลุมจะทำให้สถานภาพ บทบาทและโอกาสในการแสดงพลังของผู้บริโภคมีมากขึ้น ขณะเดียวกัน คนไทยก็จะได้รับหลักประกันโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยสี่อย่างเสมอหน้า ซึ่งได้เสนอสิทธิเพิ่มเติม 7 ข้อได้แก่

  1. สิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นในฐานะผู้บริโภคหรือผู้แทนกลุ่มผู้บริโภคในการกำหนดกฎเกณฑ์ มาตรการ หรือ นโยบายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค
  2. สิทธิที่จะรวมตัวกันเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองผู้บริโภค
  3. สิทธิที่จะได้รับความรู้และทักษะที่จำเป็นเพื่อการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค
  4. สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมจากโฆษณาและสื่อสารมวลชน
  5. สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการพิสูจน์ความผิด ภาระในการพิสูจน์ความผิดเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจ
  6. สิทธิในการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับสาธารณะเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค
  7. สิทธิ ที่จะได้รับสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอันได้แก่ ยา เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย การดูแลสุขภาพ การศึกษาและสุขาภิบาล
*******
รวมมิตรจาก http://www.consumerthai.org

การก้าวสู่ประชาคมอาเซียน

 การก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
 ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ
 
       นับตั้งแต่ประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการรวมตัวกัน ภายหลังการประกาศปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) และการก่อตั้งประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Association of Southeast Asian Nations) เป็นต้นมาประเทศสมาชิกอาเซียนต่างได้รับประโยชน์จากความร่วมมือที่ช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ และสามารถเพิ่มอำนาจต่อรองกับประชาคมอื่นๆในโลกให้สูงขึ้น แม้จะเป็นเพียงการรวมตัวกันอย่างหลวมๆ ก็ตามภายหลังการรับรองเอกสาร “วิสัยทัศน์อาเซียน 2020” (ASEAN Vision 2020) ในปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ.1997) เพื่อพัฒนาอาเซียนไปสู่ “ประชาคมอาเซียน”(ASEANCommunity) ให้เป็นผลสำเร็จภายในปี 2563(ค.ศ. 2020) และเห็นชอบให้มีการร่าง “กฎบัตรอาเซียน” เพื่อเป็น“ธรรมนูญ” การบริหารปกครองกลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 10 ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ตลอดจนการประชุมสุดยอดอาเซียนในปี พ.ศ.2550(ค.ศ.2007) ที่มีความตกลงให้เร่งรัดการจัดตั้งประชาคมอาเซียนให้แล้วเสร็จเร็วขึ้นอีก 5 ปี คือ ภายในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ.2015) ซึ่งมีการลงนามรับรอง “ร่างกฎบัตรอาเซียน” (ASEAN Charter) เพื่อใช้เป็นกติกาในการอยู่ร่วมกันที่เน้นความยึดมั่นในหลักการแห่งประชาธิปไตยหลักนิติธรรมและธรรมาภิบาล การเคารพและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ที่จะนำไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวของอาเซียนดังคำขวัญที่ว่า “One Vision, One Identity, One Community” ส่งผลให้เกิดความพยายามในการขับเคลื่อน และเตรียมการเพื่อก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ให้ทันตามกำหนดเวลาดังกล่าวในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรมและจริงจังมากยิ่งขึ้น


         การศึกษามีหน้าที่โดยตรงที่เกี่ยวข้องและมีบทบาทสำคัญในการให้ความรู้ที่จำเป็นในการขับเคลื่อนและเตรียมการเพื่อก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียนให้ทันตามกำหนด ในกรอบความร่วมมือของประชาคมอาเซียนทั้ง 3 เสาหลัก (Three Pillars of ASEANCommunity) ซึ่งประกอบด้วยประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political and Security Community - APSC)ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community - AEC)และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาสังคมและวัฒนธรรม (ASEANSocio-Cultural Community - ASCC) อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาในฐานะหน่วยวิจัยและพัฒนานโยบายและแผนการศึกษาของชาติ จำเป็นที่จะต้องมีความตระหนักรู้และมีความพร้อมในการกำหนดนโยบายเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่ประชาคมอาเซียน ที่สอดคล้องกับนโยบายในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ที่มุ่งสร้างคนไทยยุคใหม่ให้มีความรู้ความดี และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ซึ่งหมายรวมถึงการจัดการศึกษาเพื่อให้คนไทยมีความพร้อมที่จะเป็นพลเมืองอาเซียนที่สามารถแข่งขันได้และอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านอย่างสันติสุข ตลอดจนเป็นต้นแบบการดำเนินการเพื่อขยายผลความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมกับประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ในภูมิภาคเดียวกันอีกด้วย ดังนั้นการให้ความรู้แก่ข้าราชการ บุคลากร และผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการเตรียมการเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนจึงเป็นสิ่งจำเป็น และเป็นเป้าประสงค์หลักในการจัดทำหนังสือเล่มนี้ เพื่อประโยชน์ในการปูพื้นฐาน สร้างความรู้ความเข้าใจให้นักการศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องให้เกิดความตื่นตัว และมีความพร้อมในเบื้องต้นเพื่อจับมือก้าวสู่ประชาคมอาเซียนไปพร้อมกัน
*******
รวมแหล่งความรู้จาก  การบรรยายทางวิชาการเพื่อสร้างความตระหนัก เรื่อง การก้าวสู่ประชาคมอาเซียน รายละเอียด http://www.onec.go.th

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

ชีวิตใหม่

ชีวิตใหม่
โดย รินใจ 


       มารคมีธุระด่วนต้องเดินทางจากเชียงใหม่ลงมากรุงเทพ ฯ เผอิญเพื่อนสนิทซึ่งมีเครื่องบินส่วนตัวก็กำลังจะลงมากรุงเทพ ฯ เช่นกัน จึงชวนมารคนั่งเครื่องบินลงมาด้วยกัน
        เครื่องบินเล็กทะยานขึ้นฟ้าได้ไม่ถึงสิบนาที เครื่องก็ดับ เพื่อนซึ่งเป็นนักบินพยายามสตาร์ตเท่าไรก็ไม่ติด ชั่วขณะนั้นเองมารคตระหนักว่าวาระสุดท้ายของเขาใกล้มาถึงแล้ว คำถามตอนนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาและเพื่อนจะรอดหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าทำอย่างไรผู้คนข้างล่างจะไม่พลอยรับเคราะห์ไปพร้อมกับทั้งสอง คนด้วย
        เมื่อรู้ว่าตัวเองคงไม่รอดแน่แล้ว มารคทำใจยอมรับความตายโดยดุษณี เขาแปลกใจที่พบว่าจิตใจสงบนิ่งมาก ไม่มีความทุรนทุรายกระสับกระส่ายแต่อย่างใด ในภาวะนั้นเขารู้สึกดื่มด่ำเป็นอย่างยิ่งกับธรรมชาติรอบตัวและภูมิประเทศเบื้องล่าง ไม่ว่าทะเลเมฆสีขาวนวล เวิ้งฟ้าสีคราม และทิวเขาเขียวครึ้มข้างล่าง ล้วนงดงามตรึงใจ ระหว่างที่เครื่องกำลังร่อนลดระดับลงมาเรื่อย ๆ นั้น รอบตัวไร้สรรพสำเนียงใด ๆ มีแต่ความเงียบสงบ ภาพที่เห็นผ่านกระจกเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ แต่สงบงัน ในห้วงนั้นเขารู้สึกถึงความสงบและเป็นสุขอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน
         ร่วม ๒๐ นาทีที่เขาได้สัมผัสกับความเบาสบายกลางฟ้า และแล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เครื่องยนต์ทำงานอีกครั้ง แต่ก็ดับอีก แล้วก็ติดใหม่ เป็นเช่นนี้ตลอดเวลา นักบินจึงตัดสินใจบังคับเครื่องกลับเชียงใหม่ และแจ้งสนามบินให้เตรียมพร้อม มีการเคลียร์รันเวย์และอพยพผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของผู้คนที่สนามบิน เครื่องค่อย ๆ ร่อนลงอย่างปลอดภัย
        ช่างเครื่องได้ตรวจพบในเวลาต่อมาว่ามีน้ำเข้าไปในตัวเครื่อง เมื่อซ่อมเครื่องเสร็จเรียบร้อย เพื่อนก็ชวนมารคขึ้นเครื่องบินลำเดิมลงมากรุงเทพ ฯ อีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งรอดตายมาอย่างไม่คาดฝัน มารครับคำชวนของเพื่อน คราวนี้ทั้งสองถึงกรุงเทพ ฯ โดยสวัสดิภาพ

         มารครอดตายมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ถ้ามองให้ดีแล้วสิ่งที่น่าอัศจรรย์กว่านั้นก็คือการที่เขารู้สึกเป็นสุข และสงบอย่างยิ่งในยามประจันหน้ากับความตาย คนทั่วไปนั้นรู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องน่ากลัว แต่ประสบการณ์ของมารคชี้ว่าความตายนั้นไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวต่างหากก็คือความกลัวตาย เมื่อความกลัวตายมลายหายไป ความตายแม้จะอยู่ใกล้เพียงใด ก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ ตรงกันข้ามมันกลับทำให้จิตใจเบาสบายเป็นอย่างยิ่งเพราะได้ปล่อยวางทุกอย่าง
        อะไรก็ตามหากเราหลีกหนีไม่ได้ อ้าแขนต้อนรับมันเป็นดีที่สุด เมื่อมารคยอมรับความตายโดยดุษณี ความตายก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป ใช่หรือไม่ว่าสาเหตุที่เรากลัวความตายก็เพราะเรายึดอะไรต่ออะไรอีกมากมาย ในเมื่อไม่อยากสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป เราจึงทำใจไม่ได้ ใจที่ยังยึดไว้ไม่ยอมปล่อยนี้แหละคือปัญหาเพราะมันเป็นแหล่งบ่มเพาะความกลัว ซึ่งคอยหลอกหลอนซ้ำเติมและสร้างความทุกข์ให้แก่เรา
        สเตฟานีเป็นอีกคนหนึ่งที่ผ่านความตายมาได้อย่างหวุดหวิด วันนั้นเธอขับรถอยู่บนทางด่วน สักพักก็เห็นรถจอดกันยาวเหยียด จึงต่อท้ายคิว เมื่อเหลือบมองกระจกหลัง ก็เห็นรถคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูง ไม่มีทีท่าว่าชะลอเลยทั้ง ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากรถของเธอ ดูเหมือนคนขับจะใจลอย เธอรู้ทันทีว่ารถของเธอต้องถูกชนอย่างแน่นอน และคงเป็นการปะทะที่รุนแรงเสียด้วย ชั่วขณะนั้นเองเธอตระหนักว่าตัวเองอาจไม่รอด
วินาทีนั้นเธอก้มลงดูมือทั้งสองซึ่งกำพวงมาลัยไว้แน่น เป็นครั้งแรกที่เธอตระหนักว่าเธอใช้ชีวิตด้วยความเครียดและเกร็งมาโดยตลอด เธอตัดสินใจในตอนนั้นว่า ฉันไม่ต้องการตายแบบนี้ เธอจึงหลับตา หายใจเข้าลึก ๆ และทิ้งมือลงข้างตัว ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามวิถีของมัน เธอยอมรับความตายโดยไม่ขัดขืน และแล้วรถคันหลังก็พุ่งชนรถของเธออย่างรุนแรงและดังสนั่น
         รถของเธอถูกชนจนยับเยิน ส่วนรถคันหลังก็แหลกไม่มีชิ้นดี แต่เธอกลับไม่เป็นอะไร ตำรวจบอกเธอในเวลาต่อมาว่าโชคดีที่เธอปล่อยตัวตามสบาย หากเธอเกร็งตัว มีโอกาสมากที่จะบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิตเพราะแรงกระแทก
         สเตฟานีก้าวออกจากซากรถราวกับเป็นคนใหม่ เธอใช้ชีวิตด้วยความปล่อยวางมากขึ้น ไม่คิดจะควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามใจปรารถนา และยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตได้มากขึ้น จากคนที่กุมชีวิตไว้แน่น บัดนี้เธอเพียงแค่ประคองมันเอาไว้ ราวกับชีวิตคือขนนกที่วางอยู่บนฝ่ามือ แล้วเธอก็พบว่าตนเองสามารถรื่นย์กับชีวิตได้อย่างแท้จริง
         อุบัติเหตุร้ายแรงได้นำชีวิตใหม่มาให้แก่สเตฟานี แม้ว่าเธอยังประสบกับความสำเร็จสลับกับความล้มเหลวเหมือนเดิม ได้รับคำชื่นชมควบคู่กับคำตำหนิเหมือนเดิม มีได้มีเสียเหมือนคนอื่น ๆ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือจิตใจ ใจที่อ่อนโยนนุ่มนวลกับชีวิต ไม่คิดบังคับควบคุมทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต นี้ต่างหากที่ทำให้ชีวิตใหม่บังเกิดขึ้นอย่างแท้จริง 
*******
รวมมิตรจาก http://www.visalo.org