วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ควรอยู่เป็นโสด หรือ มีครอบครัว

ควรอยู่เป็นโสด หรือ มีครอบครัว 
 โดย ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน


         พอดีคุณเทพได้พูดเรื่องไม่อยากมีลูกขึ้นมา ดิฉันอยู่ในฝ่ายที่รับฟังปัญหาของคนมามาก ถามเข้ามามากเพื่อต้องการคำตอบในเรื่องนี้ และดิฉันอายุก็จัดเข้าสู่วัยชราแล้ว มีลูกของตัวเองด้วย จึงเห็นปัญหาของคนในแต่ละวัยได้ชัดเจนมากขึ้น จึงอยากถือโอกาสพูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา อาจจะฟังขัดหูต่อคนบางคนที่ไม่อยากฟัง แต่ต้องพยายามเข้าใจเรื่องที่ดูเหมือนง่าย ๆ แต่มีความลึกซึ้งอย่างมหาศาล เช่นเรื่องการแต่งงานและมีลูก

        คนที่อายุยังน้อย เมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้ว มักพูดเสมอว่า ไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากมีลูก เพราะไม่อยากมีบ่วงผูกคอ ซึ่งเป็นการคิดและพูดตามพระพุทธเจ้า แต่ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว การเข้ามาพึ่งร่มโพธิ์ร่มไทรของพระพุทธศาสนาไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ สำหรับคนยุคนี้แล้ว โดยเฉพาะเพศหญิง ใครจะบวชได้และอยู่ได้จริง ๆ จำเป็นต้องมีทุนทรัพย์ด้วย

        เห็นคนเปลี่ยนทัศนะคติมาแล้ว
        ตอนนี้ดิฉันสามารถเห็นภาพชีวิตของคนที่มีอายุมากขึ้นด้วย ฝรั่งที่ใช้ชีวิตในวัยชราอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครดูแล บางคนตายเป็นอาทิตย์ เป็นเดือนแล้ว คนถึงจะรู้ ได้พบคนไม่น้อยที่เล่าถึงความห่วงใยในอานาคตของตนเองที่ต้องอยู่เพียงคน เดียวโดยไม่มีใครดูแล บางคนถึงขนาดกลัว ไม่สามารถขับไล่เจอรี่ตัวกลัวนี้ออกจากบ้านของใจ มันรบกวนมาก

        คนที่อยู่ในวัยไม่เกิน ๓๕ นั้น มักจะคิดถึงชีวิตแบบตัดตอนโดยเอาความรู้สึกในขณะนี้เป็นเกณฑ์ตัดสิน เห็นว่าชีวิตก็มีความสุขดีนะ เพราะมีพ่อแม่พี่น้องอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น ไม่เห็นจะต้องแต่งงานรับภาระการเลี้ยงลูกดูแลคู่ครองให้ยุ่งยากเปล่า ๆ ปฏิบัติธรรมไป ก็น่าจะอยู่ได้ แต่พอเข้าวัย ๔๐ แล้วสิ ความคิดเริ่มเปลี่ยน เพราะพ่อแม่ก็แก่เฒ่าชราลง หรืออาจจากเราไปแล้ว พี่น้องคนอื่นก็อาจจะแต่งงานมีครอบครัวของตนเอง จากครอบครัวที่เคยอบอุ่นเต็มไปด้วยผู้คนกลับเหลือสมาชิกน้อยลง ๆ พี่น้องที่มีครอบครัว เขาก็ไปสร้างสมาชิกใหม่ของเขา มีความรักความอบอุ่นเหมือนที่พ่อแม่มีเราตอนเราเล็ก ๆ แม้เพื่อน ๆ ก็ตาม เมื่อเขาแต่งงานไป จะค่อย ๆ ห่างและหดหายไปเช่นกัน หากเราไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก แม้จะปฏิบัติธรรมก็ตาม จะยังไม่พ้นที่จะถูกความเงียบเหงาและความกลัวอนาคตหลอกเอาทั้งนั้นไม่ว่าชาย หรือหญิง ยิ่งแก่ตัว คนรู้จักในรุ่นเดียวกันก็จะยิ่งน้อยลง ก็จะยิ่งคิดมาก อย่างน้อยพ่อแม่ที่ชราของเรามีเราเป็นคนดูแลท่าน พาท่านไปหาหมอ ดูแลปรนิบัติท่านในยามที่ท่านเจ็บป่วย แม้จากไปแล้ว ก็ยังมีเราเป็นภาระจัดงานศพแผ่ส่วนบุญกุศลไปให้ท่าน และเมื่อเราแก่เฒ่าชราล่ะ ใครจะดูแลเรา หากเราไม่มีลูก ใครจะทำสิ่งเหล่านี้ให้กับเรา มีหลายรายที่เขียนมาหาดิฉันเพื่อต้องการเค้นเอาคำตอบว่าจะแก้ปัญหาเรื่อง ความเหงา และการต่อสู้กับอนาคตอย่างโดดเดี่ยวได้อย่างไร

        สัญชาติญาณคือธรรมชาติจัดสรร
        ดิฉันจึงขอถือโอกาสนี้พูดตรง ๆ เลย ว่า คุณกำลังอยู่ในโลกมนุษย์อันเป็นคุกชีวิตที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์เพียบพร้อมไปหมด ทุกอย่าง จะขอไปนิพพานด้วยพร้อมกับอยู่ในโลกมนุษย์อันเป็นคุกชีวิตอย่างไม่ทุกข์เลย ย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่เป็นโสด หรือเลือกการไม่มีลูก ล้วนต้องมีห่วง มีทุกข์กันคนละแบบทั้งสิ้น ถ้าต้องการความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นความอบอุ่นของการมีครอบครัว ก็ต้องยอมลงทุนโดยการรับภาระเลี้ยงลูก ต้องยอมเสี่ยงที่จะเป็นทุกข์ หากลูกไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ หรืออาจมีเรื่องอะไรเกิดกับลูก นี่เป็นเรื่องของโลก ไม่มีทางเลือก

        ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า โลกมนุษย์คือโลกที่ต้องมีมนุษย์อยู่ ธรรมชาติจึงจัดสรรให้มนุษย์มีขบวนการสืบเผ่าพันธุ์ ความต้องการทางเพศจึงเป็นสัญชาติญาณที่รุนแรงมาก แรงพอ ๆ กับสัญชาติญาณของหญิงที่อยากเป็นแม่คน และแรงพอ ๆ กับสัญชาติญาณของแม่ที่ต้องการปกป้องลูกของตน เรื่องสัญชาติญาณนี่เป็นเรื่องลึกซึ้งและลึกลับของธรรมชาติ สัญชาติญาณที่รุนแรงเหล่านั้นล้วนเป็นแผนการณ์ให้มนุษย์จำเป็นต้องทิ้งเผ่า พันธุ์ไว้ในโลกมนุษย์ การฝืนธรรมชาติเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องยากมาก แม้ฝืนมันได้ โดยการไปบวชเป็นพระ ก็เห็นไม๊ล่ะว่า ทำไมจึงมีปัญหาเรื่องพระไปแอบเสพเมถุนกันมาก แม้ไม่บวชเป็นพระ นักปฏิบัติธรรมที่เป็นชายก็ล้วนถูกเรื่องกามราคะตามรังควานทั้งสิ้นอย่างที่ หลายคนได้ประสบมา

        ชีวิตมีทั้งแง่บวกและลบ
        นอกจากนั้น ชีวิตมนุษย์เป็นชีวิตที่ต้องทำงานหาเงินเพื่อมาเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอด ไม่มีความสามารถในการเนรมิตของทิพย์เหมือนประชากรของเทวดาในโลกสวรรค์ ธรรมชาติจึงสร้างมนุษย์ให้เป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่กันเป็นคู่ เป็นครอบครัวเพื่อช่วยกันทำมาหากิน ช่วยกันเลี้ยงลูกเล็กให้เติบใหญ่ ความรักความอบอุ่นของครอบครัวที่มีคนที่เราพึ่งพาได้อย่างแท้จริงเป็นความ สุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทั้งมนุษย์และสัตว์พอจะหาได้ในขณะที่ยังอยู่ในคุกชีวิต

         โลกมนุษย์นี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์ เพราะมันเป็นคุก เราต้องยอมรับวิถีชีวิตที่ธรรมชาติสร้างให้ ซึ่งมีทั้งแง่บวกกับแง่ลบ ในสายตาของนักปฏิบัติธรรมเห็นการแต่งงานมีลูกเป็นภาระหนักที่จะถ่วงไม่ให้ตน เองไปนิพพาน แต่การอยู่คนเดียว ปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้รับประกันว่า เราจะไปนิพพานได้เร็วกว่าคนที่มีครอบครัวที่ไหน ในทางตรงกันข้าม คนที่มีครอบครัวของตนเองนั้น จะมีประสบการณ์ชีวิตอีกมากมายที่คนไม่เคยมีครอบครัวจะไม่มีวันรู้ได้ เช่น การเป็นพ่อแม่คนมีความรู้สึกอย่างไร การเลี้ยงลูกเล็กมีความสุขอย่างไร การเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อรักมนุษย์อีกคนหนึ่งโดยไม่มีอะไรเคลือบแฝง นี่เป็นสิ่งที่คนไม่ได้เป็นพ่อแม่คนจะไม่มีโอกาสทำได้ แน่นอน การเลี้ยงลูกย่อมเป็นภาระ และเป็นบ่วงผูกคอ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงลูกเลว ๆ ที่นำปัญหามาให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ทุกข์ใจ จนต้องพูดออกมาดัง ๆ ว่าหากไม่มีลูก คงดีกว่านี้

        จะมองชีวิตแบบตัดตอนไม่ได้
        สิ่งที่ดิฉันอยากให้คนปฏิบัติธรรมมองคือ ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน หรือ แต่งงานแล้วไม่มีลูกด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ทุกคนล้วนมีทุกข์ มีปัญหาไปคนละแบบทั้งสิ้น ล้วนต้องตั้งความปรารถนาพระนิพพานทั้งสิ้น แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเด็ดขาดว่า จะไม่แต่งงานและไม่อยากมีลูกนั้น ต้องพยายามมองภาพที่ไกลออกไป เพราะทุกคนล้วนต้องแก่ และอาจมีโรคภัยไข้เจ็บ และต้องตายทั้งสิ้น เพราะมีส่วนนี้แหละ วิถีของธรรมชาติจึงสร้างให้มนุษย์ต้องอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนที่เราเรียกว่า สังคม ตั้งแต่สังคมครอบครัวขึ้นไปจนถึงระดับประเทศ เพื่อมนุษย์จะได้ดูแลซึ่งกันและกัน ฉะนั้น คุณจะมองแบบตัดตอนไม่ได้ คุณต้องมองให้เห็นภาพของตนเองในวัยชราที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย คุณต้องมองให้ออกว่า ความสุขของพ่อแม่ของเราในขณะนี้คือ การได้อยู่ห้อมล้อมด้วยลูกหลานของตนเอง นี่คือความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนแก่ ล้วนมองไปที่หน้าบ้านเพื่อเอี้ยวคอมองว่าเมื่อไหร่ลูกหลานจะมาหาทั้งนั้น แหละ ลองไปสังเกตสิ ลูกหลานของคนอื่นก็ไม่เหมือนลูกหลานของเราเอง ขอยกเว้นกรณีพิเศษที่ลูกหลานคนอื่นดีกว่าลูกหลานของตัวเองซึ่งมีน้อย ฉะนั้น ต้องมองตนเองในวัยชราที่อยู่โดดเดี่ยว เราจะไม่มีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างที่พ่อแม่เรามีอยู่ในขณะนี้

         ถูกแม่ดุ
          แม้ดิฉันเอง ขณะอยู่ในวัยสามสิบกว่ามีลูกเล็กสามคนแล้ว กลับมาหาแม่ทีไร ก็มักพูดว่าอยากกลับมาอยู่กับแม่และพี่น้องที่เมืองไทย จนแม่ต้องดุดิฉันเลยว่า มีสามีมีลูกแล้ว ก็ต้องคิดอยู่กับครอบครัวของตัวเองสิ จะคิดไปอยู่กับคนอื่นได้อย่างไร เห็นไม๊ แม่พูดเองว่า พี่น้องเป็นคนอื่น ยังรู้สึกผิดหวังว่าทำไมแม่พูดเช่นนั้น และทำไมตอนที่เรามีลูกเล็ก ผู้ใหญ่จึงพูดเหมือนกันหมดว่า หนูนี่โชคดีจัง มีลูกชายน่ารักถึง ๓ คน ถูกละ ความรู้สึกสุขและสวยงามจากการมีลูกก็มีอยู่ แต่ตอนนั้นฟังแล้วก็ยังขัดกับความรู้สึกบางอย่างของตนเองบ้าง เพราะเหนื่อยมากจากการเลี้ยงลูก แถมเงินทองก็ไม่ค่อยมี เห็นแต่ภาระที่หนักหน่วง

       แต่ตอนนี้ดิฉันเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าทำไมผู้ใหญ่จึงมักพูดเช่นนั้น เห็นปู่ย่าตาทวดบางคนที่ผ่านชีวิตมามาก พร้อมกับเห็นปัญหาและความทุกข์มากมายที่ลูกหลานนำมาในช่วง ๕๐ ปี แต่คนชราเหล่านี้ ก็ยังพูดเหมือนกันหมดว่า ไม่เสียใจที่มีลูก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ยังสนับสนุนให้คนมีครอบครัวดีกว่า นี่คือความลึกซึ้งของชีวิตที่เข้าใจได้ยาก ต้องมีประสบการณ์เท่านั้น จึงจะรู้ได้

        ต้องกล้าเผชิญปัญหา
        ฉะนั้น หากใครตัดสินใจไม่อยากมีครอบครัว ก็ต้องมีความกล้าหาญที่จะเผชิญกับปัญหาความเงียบเหงาและการดูแลตนเองในยาม แก่เฒ่า จะต้องยอมรับว่านี่เป็นการตัดสินใจของตนเอง และเตรียมตัวรับปัญหาเหล่านั้น จะต้องวางแผนให้ดีว่าจะทำอะไรกับตัวเองอย่างไร ซึ่งคนโสดส่วนมากมักไปอยู่วัด

        ส่วนใครที่มีลูก ก็ไม่ได้รับประกันเช่นกันว่า ลูกจะมาเลี้ยงเราในยามแก่เฒ่า ลูกที่แต่งงานแล้ว รักแต่สามีหรือภรรยาและลูกของตัวเองโดยไม่เหลียวแลพ่อแม่ชราก็มีถมไป สังคมเปลี่ยนไปมากแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความเสี่ยงเหมือนการซื้อล๊อตเตอรี่ ไม่มีทางรู้ว่ามันจะออกหัวหรือออกก้อย ต้องจำไว้เสมอว่า เรากำลังอยู่ในคุกชีวิตที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์ เพียบพร้อม ล้วนต้องเสี่ยง หรือไม่ก็ต้องลงทุนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาทั้งสิ้น

        ครอบครัวใหญ่
        การที่พระพุทธเจ้าสร้างสังคมของบรรพชิตขึ้นมา ก็เพื่อสร้างทางลัดให้คนเดินไปนิพพานได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องมีภาระหาเลี้ยง ชีพ นอกจากนั้น สังคมบรรพชิตก็เหมือนเป็นครอบครัวใหญ่ที่พระบรมศาสดาหวังจะให้ภิกษุดูแลกัน เอง เมื่อครั้งที่ท่านเสด็จไปดูแลพระรูปหนึ่งที่เจ็บไข้ได้ป่วยเพราะไม่มีใคร ดูแล ทรงเช็ดถูกายให้ เสร็จแล้ว ท่านก็ตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า หากภิกษุไม่ช่วยดูแลกันเองในยามเจ็บไข้แล้ว จะไปหวังให้ใครมาช่วยดูแลหรือ เป็นการบอกพระภิกษุสาวกว่า สังคมของสงฆ์นี่แหละคือครอบครัวใหม่ของตนเองแล้ว จำเป็นที่จะต้องคอยสอดส่องและดูแลกันเอง ซึ่งดิฉันก็ไม่ทราบว่า ภิกษุของยุคสมัยนี้ยังคงปฏิบัติต่อกันเช่นนี้หรือไม่ ถ้าเป็นพระที่มีชื่อเสียง เป็นครูบาอาจารย์หรือเป็นเจ้าอาวาสก็คงไม่มีปัญหา ย่อมมีลูกศิษย์คอยดูแล อย่างเช่น หลวงปู่ชา แต่พระที่ไม่มีบทบาทอะไรต่อสังคมแล้ว เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ยังคงเป็นหน้าที่ของครอบครัวตนเองที่จะต้องมารับภาระดูแลท่าน

        สังคมอโศกเป็นตัวอย่างที่ดี
       ส่วนทางออกของคนที่ไม่คิดบวชและไม่อยากแต่งงานมีครอบครัว ก็ต้องสร้างสังคมของตนเองขึ้นมาที่จะช่วยดูแลกันเองได้ คือ สร้างสังคมของญาติธรรม มาเป็นญาติกันในทางธรรม ซึ่งสังคมของชาวอโศกที่นำโดยท่านโพธิรักษ์จะเป็นตัวอย่างที่ดีมากของสังคม ดังกล่าว หรือไม่เช่นนั้นก็ไปอยู่วัด หรือ อาศรมต่าง ๆ ที่มีผู้นำทางธรรมได้สร้างสังคมไว้แล้ว เช่น อาศรมมาตา เป็นต้น แต่หมายความว่า เรายังต้องเสียสละอิสรภาพส่วนตัวบ้างที่จะมาสร้างญาติทางธรรม มาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเช่นนี้ จะต้องมีทั้งการให้และการรับที่สมดุลกัน give and take เราไม่สามารถคาดหวังให้ใครมาดูแลเราในยามเจ็บไข้ หากเราไม่เคยไปดูแลคนอื่นเลย ในขณะที่การมีครอบครัวของตนเอง ก็เหมือนการบังคับให้ดูแลกันเองไปในตัวตามที่ธรรมชาติสร้างมา

        การสร้างสังคมของญาติธรรมก็ไม่ใช่เป็นคำตอบสำหรับทุกคนเสมอไป เพราะคนปฏิบัติธรรมส่วนมากก็ไม่ค่อยอยากยุ่งกับใครมากอยู่แล้ว ยิ่งถ้าไม่ใช่ครอบครัวคนใกล้ชิดของตนเอง อยากมีชีวิตเป็นส่วนตัวของตนเองมากกว่า สังคมของกัลยาณมิตรเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเลย แม้สังคมที่มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นก็ยังมีปัญหาหากต้องมีการพูดคุย สื่อสาร และทำงานร่วมกัน นี่เป็นเรื่องธรรมดา



        สร้างสังคมกัลยาณมิตรของตนเอง
        ใครที่ไม่พร้อมจะอยู่กับคนหมู่มากดังเช่นสังคมของชาวอโศก ก็อาจจะสร้างสังคมกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีกัลยาณมิตรที่ไม่ได้แต่งงานเหมือนกัน เป็นชมรมเล็ก ๆ สร้างความสัมพันที่ใกล้ชิดต่อกันเพื่อจะได้ช่วยเหลือดูแลกันเอง แต่เห็นหรือไม่ว่า ไม่ว่าทางออกจะเป็นอะไร ล้วนต้องเกี่ยวข้องกับการลงทุนซึ่งเป็นการเสียสละความเห็นแก่ตัวตนทั้งสิ้น เหมือนพ่อแม่ที่ต้องเสียสละเพื่อเลี้ยงลูกจนโต จึงจะมีลูกมาดูแลตัวเองในยามแก่เฒ่า

        และต้องอย่าลืมว่า เพื่อนที่จะมาใส่ใจดูแลเพื่อนด้วยกันเองอย่างทุ่มเทนั้น มีน้อยมากในสังคมแห่งความเป็นจริง ไป ๆ มา ๆ มักเหลือแต่ ลูกหลานที่เกี่ยวดองกันทางสายเลือดใกล้ชิดจริง ๆ เท่านั้น นี่แหละ ธรรมชาติจึงสร้างให้มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานอยู่เป็นคู่ ๆ เพราะคู่ครองของเรา ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ เพื่อนที่ดีที่สุดของเรานั่นเอง และต้องอย่าลืมว่า เพื่อนที่อายุไล่เลี่ยกันย่อมเข้าสู่วัยชราพร้อมกันด้วย จะให้มานั่งเยี่ยมเยียนกันเพื่อดูว่าอีกฝ่ายสบายดีหรือไม่เหมือนตอนที่ยัง หนุ่มสาวอยู่ ย่อมเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นเหตุผลที่ธรรมชาติสร้างให้มีการสืบเผ่าพันธุ์ เพื่อคนอายุน้อยกว่าจะได้มาดูแลคนอายุมากกว่า เป็นเรื่องที่ธรรมชาติจัดสรรให้อย่างเหมาะเจาะแล้ว

         การมีบุตรชายไว้สืบสกุลจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่มากของสังคมส่วนมากตั้งแต่ โบราณกาลมาแล้ว เหมือนเป็นสัญชาติญาณที่ไม่จำเป็นต้องสอนมาก เพราะกลไกของธรรมชาติชักใยอยู่เบื้องหลังนั่นเอง การมีครอบครัวจึงเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก ไม่ใช่เรื่องตื้น ๆ เลย และไม่ใช่เรื่องที่จะมาเปลี่ยนแปลงเอาง่าย ๆ ด้วย

        ต้องสอนเด็ก ๆ เรื่องกตัญญู
        ในสังคมตะวันออกที่มีอิทธิพลของพระพุทธศาสนานั้น การดูแลพ่อแม่เป็นเรื่องกตัญญูกตเวที เป็นการเสริมความต้องการของธรรมชาติในเรื่องการดูแลมนุษย์ที่แก่เฒ่าให้เข้ม ข้นมากขึ้น ทำให้สมาชิกของสังคมไม่ลืมหน้าที่พื้นฐานของตนเอง

        สังคมตะวันตกยังขาดความรู้เรื่องนิพพาน พร้อมสถาบันศาสนาตลอดจนถึงระบบจริยธรรมของเขาก็อ่อนแอลง ในช่วง ๒๐ - ๓๐ ปีให้หลังนี้ สังคมเปลี่ยนไปมาก คนเห็นแก่ตัวมีมากขึ้น ประเด็นเรื่องการมีลูกเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามแก่เฒ่าจึงถูกบิดเบือนให้ เห็นเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวของพ่อแม่ เด็กตะวันตกของยุคนี้ เมื่อมีปากเสียงกับพ่อแม่ มักพูดด้วยความโกรธใส่หน้าพ่อแม่ว่าเห็นแก่ตัว มีลูกเพียงเพื่อให้มาเลี้ยงดูตนเองเท่านั้น ตำหนิพ่อแม่ว่าไม่ได้รักลูกอย่างแท้จริง รักแต่ตัวเองเท่านั้น พ่อแม่ไม่น้อยก็พลอยสนับสนุนความคิดนี้โดยพูดว่า ที่ตนเองมีลูกก็ไม่ได้หวังให้ลูกมาเลี้ยงตัวเองหรอก ด้วยความกลัวคนตำหนิว่าตนเองจะเห็นแก่ตัว ไม่ได้รักลูกจริง คนตะวันตกจึงไม่เข้าใจเรื่องความกตัญญูต่อพ่อแม่ ตีความว่าพ่อแม่เลี้ยงเรามาเพื่อหวังสิ่งตอบแทนคือให้เราเลี้ยงดูเขา ความคิดนี้ก็ได้ระบาดเข้ามาในสังคมตะวันออกด้วย ดังที่เคยฟังพ่อแม่ไทยพูดในทำนองนี้ ซึ่งเป็นการคิดที่ผิดทำนองคลองธรรมไปหมด เป็นความคิดที่อันตรายมาก

        ที่จริงแล้ว การสอนลูกให้กตัญญูต่อพ่อแม่โดยเลี้ยงดูท่านในยามแก่เฒ่าเป็นการสอนที่ถูก ต้องแล้ว ไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัวของใครทั้งสิ้น นี่เป็นความต้องการของธรรมชาติ การที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกเลี้ยงดูตนเองไม่ใช่เป็นเรื่องผิด และไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัวแต่อย่างใด จะมีพ่อแม่คนไหนบ้างที่ไม่หวังฝากผีฝากไข้กับลูกของตน แม้คนที่พูดว่าไม่คาดหวังอะไรจากลูกก็ตาม เมื่อถึงเวลาแก่เฒ่า ช่วยตัวเองไม่ได้ ก็ต้องหวังพึ่งลูกทั้งสิ้น นี่เป็นเรื่องธรรมชาติมาก คนไทยเราไม่ควรพูดอะไรตามก้นฝรั่งไปหมด เขาพูดอย่างคนหลงทิศชีวิต ใครจะพูดเรื่องนี้ ต้องระวังให้ดี ต้องพูดให้เด็ก ๆ มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ เห็นพ่อแม่เป็นเนื้อนาบุญที่ตนเองสามารถปลูกต้นบุญเพื่อไปนิพพาน การเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามที่ท่านแก่เฒ่า จึงเป็นการปลูกต้นบุญให้ตนเอง เป็นเรื่องที่นำสิริมงคลมาสู่ชีวิตตนเอง

        สร้างเมตตาบารมี
        คนที่แต่งงานแล้ว แต่ไม่อยากมีลูกเป็นบ่วงผูกคอ และห่วงว่าลูกที่เกิดมาอาจจะดีหรืออาจจะไม่ดี ถ้าลูกไม่ดีมาเกิดแล้ว จะทำให้ชีวิตยิ่งยุ่ง ยิ่งทุกข์มากกว่าเป็นสุข
        ขอตกลงกันก่อนว่า ดิฉันกำลังพูดกับคนปฏิบัติธรรมที่ได้ละทิ้งโคตรปุถุชนมาแล้ว ได้ข้ามพรมแดนมาสู่อริยโคตรแล้ว จึงพูดให้คนคิดใหม่ว่า การผลิตมนุษย์อีกคนหนึ่งขึ้นมาในโลกนี้ เท่ากับช่วยให้อีกชีวิตหนึ่งในสังสารวัฏมีโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์และพบพระ พุทธศาสนา เพื่อเขาจะได้มีโอกาสต่อยอดทางธรรม เดินทางต่อไปให้ถึงพระนิพพานเหมือนที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้ เท่ากับเป็นการสร้างเมตตาบารมีให้กับตนเองด้วย

        หากใครแต่งงานแล้ว คิดจะมีลูก ควรตั้งจิตอธิษฐานขอให้จิตวิญญาณที่มีบารมีทางธรรมหรืออาจได้เคยข้ามโคตรมา แล้วได้รับรู้ เพื่อต้อนรับจิตวิญญาณที่มีบุญบารมีนั้นมาสู่ครรภ์ของตน ในขณะเดียวกัน จิตวิญญาณที่ได้สร้างบารมีทางธรรมมาแล้วก็ย่อมสรรหาครรภ์ของมารดาที่มี คุณธรรมเช่นกัน เรื่องการเกิดมาเป็นพ่อแม่ลูกกันนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุญบารมีและวิบากกรรมโดยตรง แม้เด็กที่มาเกิดกับเราไม่เคยข้ามโคตรมาก่อน แต่การเกิดมาในครอบครัวของคนปฏิบัติธรรม มุ่งนิพพานย่อมเป็นสภาพแวดล้อมที่สามารถบ่มเพาะช่วยให้มนุษย์อีกคนหนึ่งก้าว ข้ามโคตรได้เช่นกัน เพราะภพภูมิมนุษย์นี้เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมเพื่อไปนิพพานมากที่สุด การคิดได้เช่นนี้ ก็เท่ากับมีเมตตาแก่เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายที่วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ เหมือนเรา เมื่อลูกที่มีบุญมาเกิดกับเราได้เช่นนี้ ก็จะสามารถช่วยกันประคับประคองเพื่อต่อยอดเดินทางไปนิพพาน นี่เป็นเหตุปัจจัยที่คู่แต่งงานสามารถทำให้มันเกิดได้

        แต่ไม่ว่าจะเลือกทางใด ล้วนต้องมีการลงทุนก่อนทั้งสิ้น คือ ต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเลี้ยงลูกให้โต เพื่อลูกจะได้ดูแลเราในยามแก่เฒ่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องไม่ลืมเรื่องกฎแห่งอนิจจังและความเสี่ยงว่ามันอาจจะไม่เหมือนที่คิด ที่คาดหวังไว้ ก็เพียงทำในสิ่งที่ถูกต้องให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง

        พระมหากัสสปกับนางภัททา
       คนที่ได้ข้ามพรมแดนมาสู่โคตรอริยะแล้วนั้น หากเป็นโสดอยู่ ย่อมอยากได้คู่ครองที่ได้ข้ามพรมแดนมาแล้วเช่นกัน เรื่องการหาคู่นี่เป็นเรื่องยากมาก หากไม่ได้ “ปิ๊ง” กันอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว แม้จะมีคนมาชอบเราอยู่ ก็ยากที่จะทำให้ตนเองชอบอีกฝ่ายหนึ่งได้ ยิ่งกำลังฝึกเรื่องพาตัวใจกลับบ้านด้วยแล้ว ก็เป็นธรรมชาติอยู่เองที่อยากอยู่คนเดียวมากกว่าที่จะอยู่กับคนอื่น
         หากใครยังมีความกลัวหรือกังวลที่จะต้องเผชิญชีวิตในวัยชราเพียงคนเดียว อยากมีคู่ และเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพูดเบื้องต้นแล้ว คนที่อยู่ในอริยโคตรด้วยกันเองน่าจะดูตัวอย่างของพระมหากัสสปะกับนางภัททา
         พระมหากัสสปะมีชื่อเดิมว่า ปิปผลิมานพ เกิดในตระกูลพราหมณ์ พ่อแม่ต้องการให้แต่งงาน ในหนังสือบอกว่า เป็นคนไม่ชอบเพศตรงข้าม (อาจจะเป็นเกย์ก็ได้) อยากบวชอย่างเดียว จึงออกอุบายให้ช่างทางหล่อรูปปั้นทองคำเล็ก ๆ ของหญิงสาวสวยหยดย้อย แต่งตัวให้งาม โดยตั้งใจว่าพราหมณ์ ๘ คนที่พ่อแม่หามาช่วยจะไม่มีทางหาหญิงตามรูปปั้นได้แน่ แต่เมื่อพราหมณ์นำรูปปั้นนี้ไปแห่ตามเมืองต่าง ๆ ก็ได้พบหญิงที่หน้าตาตามที่ปั้นขึ้นมาจริง นางชื่อภัททา เป็นชาวเมืองสาคละ แคว้นมคธ ซึ่งสาวใช้ของนางภัททาไปพบการแห่รูปปั้นนี้ก่อน จึงกลับมาบอกนายหญิงของตน พราหมณ์ ๘ คนที่พ่อแม่ของปิปผลิมานพส่งออกมาหาเจ้าสาวก็ไปดูตัว เห็นพ้องกันว่า นางภัททานี้เหมือนรูปปั้นของหญิงในฝันของขิปผลิมานพจริง จึงเอารูปปั้นทองคำนั้นหมายมั่นนางไว้ และแจ้งให้เศรษฐีกบิลพราหมณ์ทราบ

        ในที่สุด ทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน และมาพบความจริงว่า ต่างฝ่ายต่างก็ต้องการบวช ไม่อยากแต่งงานมีครอบครัวเหมือนกัน จึงสัญญากันว่า จะไม่เกี่ยวข้องกันทางกายฉันสามีภรรยา จึงเอาช่อดอกไม้คั่นไว้ตรงกลางบนเตียงนอน และรอเวลาจนกระทั่งบิดามารดาเสียชีวิตไปแล้ว จึงตัดสินใจยกสมบัติพัสถานให้ผู้อื่นหมดและออกบวชทั้งสองคนจนในที่สุดก็ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่

         ทฤษฎีเรื่องความสมดุลของหยินหยาง
        ดิฉันเห็นว่าเรื่องราวของปิปผลิมานพกับนางภัททายังน่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ อยู่แม้ในยุคนี้ การที่ดิฉันได้มาใช้ชีวิตคู่ จึงเห็นความลึกซึ้งของธรรมชาติที่สร้างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงขึ้นมาให้พึ่งพา ซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความสมดุลอย่างแท้จริง นี่คือปรัชญาความคิดเรื่องหยินหยางของชาวจีน ชายกับหญิงถูกสร้างมาให้มีความแตกต่างกันมาก ดังที่หมอดูพูดว่า ชายมาจากดาวอังคาร หญิงมาจากดาวศุกร์ Male comes from Mars and female comes from Venus. มีบางคนถึงขนาดคิดว่าหญิงกับชายไม่ใช่เพียงมาจากดาวเคราะห์ต่างกัน แต่มาจากต่างแกแลกซี่เลยทีเดียว

         หญิงชายมีความแตกต่างกันมากนี่เป็นความตั้งใจของธรรมชาติ ตั้งแต่ความแตกต่างทางกายตลอดจนการคิดนึกและความสามารถซึ่งบางสิ่งจะทดแทน กันไม่ได้เลย เนื่องจากชายมีร่างกายแข็งแรงกว่า ในอดีต ชายจึงต้องเป็นฝ่ายออกไปล่าสัตว์หาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว ในขณะที่ฝ่ายหญิงจะดูแลลูกและทำงานบ้าน ซึ่งบทบาทดั้งเดิมนี้แม้ได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้วในสังคมปัจจุบัน ก็ยังเปลี่ยนไม่มากเท่าไร หญิงที่ออกจากบ้านไปทำงานเท่าเทียมฝ่ายชาย หากมีครอบครัว แม้กลับถึงบ้านก็ยังไม่พ้นต้องดูแลลูกเต้าและทำงานบ้านเช่นเดิม ทำให้ต้องทำงานหนักกว่าชายถึงสองเท่า ใครมีฐานะดีพอที่จะจ้างแม่บ้านมาดูแลความสะอาดของบ้านช่องก็อีกเรื่องหนึ่ง

        บ้านที่มีความลงตัวได้ดีทุกอย่าง ต้องเป็นบ้านที่มีทั้งชายและหญิงอยู่ด้วยกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะทำงานที่ตนถนัด ดิฉันมักล้อสามีเสมอว่า เขาตากผ้าไม่เป็น สามีก็มักล้อดิฉันว่าเปลี่ยนหลอดไฟไม่ได้ อ่านแผนที่ไม่เป็น ไม่รู้จักแยกขวาแยกซ้าย เป็นต้น ชายจะสามารถวาดภาพของแผนที่ในหัวตนเองได้ แต่หญิงทำไม่ค่อยได้ เรื่องที่ทำง่าย ๆ สำหรับหญิงจะกลายเป็นเรื่องยากของฝ่ายชาย และกลับกัน โดยเฉพาะเรื่องการเลี้ยงเด็กทารก เป็นเรื่องที่ทดแทนกันยากมาก

        ผูกพันกันทางสายเลือด
        นอกจากหญิงชายจะพึ่งพาซึ่งกันและกันในเรื่องงานต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวรอบบ้านแล้ว ธรรมชาติยังสร้างให้มาพึ่งพากันทางด้านอารมณ์ความรู้สึกด้วย เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการความรัก ต้องมีคนที่เป็นห่วงเป็นใยเรา อยากรู้เรื่องสุขทุกข์ของเรา ซึ่งคนที่จะให้ความรักเช่นนั้นกับเราได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดคือ พ่อแม่ของเราเท่านั้น คนที่ให้เราได้ถัดมาคือคู่ครองที่เรารักจริง และต่อมาคือลูกของเรา ซึ่งอาจจะให้ความรักแก่เราไม่เท่าที่เราในฐานะพ่อแม่ให้แก่ลูก ความรักที่จะได้รับจากคนอื่นก็น้อยลงแล้ว เพราะการเกี่ยวดองทางสายเลือดนี่ย่อมสร้างใยผูกพันที่เหนียวแน่นกว่าคนที่ ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด จึงไม่เพียงพอที่เราจะพึ่งพาได้อย่างแท้จริง ฉะนั้น คนที่อยู่เป็นโสด ถึงจุดหนึ่งที่พ่อแม่เสียไปแล้ว จะเหงาและโดดเดี่ยวมาก จะรู้สึกขาดแคลนความรัก แม้ปฏิบัติธรรมอยู่ก็ตาม นอกจากว่าตนเองจะหมดปัญหา หลุดพ้นได้แล้วนั่นแหละ จึงจะไม่ถูกเรื่องความเหงาและความโดดเดี่ยวกัดเซาะเอา แม้จะมีสติเข้มข้นอย่างไร เจอรี่ตัวนี้จะหาทางเข้ามาในบ้านของเราได้เสมอ


         สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว
         การพึ่งพาด้านจิตใจระหว่างชายกับหญิง จะเห็นได้ชัดเมื่อมีการออกจากบ้าน ต้องเข้าสังคมนั้น การมีคู่ครองของเราไปด้วยจะทำให้เกิดความอุ่นใจและมั่นใจในตนเองมากกว่าการ ไปไหนต่อไหนคนเดียว คู่ครองที่ดีมักจะตรวจสอบความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งเสมอ หากฝ่ายหนึ่งรู้สึกประหม่า ไม่มีความมั่นใจ อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องคอยดูแล เป็นเพื่อนคุยด้วย เหมือนต่างฝ่ายต่างเป็นหลักเกาะให้แก่กันและกัน จะทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความมั่นคงมากขึ้น ไม่ล้มในทางอารมณ์ง่าย ๆ
โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ย่อมต้องการมีคนพูดคุยด้วย แม้เพียงคำพูดธรรมดา ๆ ว่า ข้าวราดแกงนี่อร่อยนะ ดอกกุหลาบนี่หอมจัง หรือ ต้องการให้ใครมาบอกเราว่าเสื้อผ้าชุดนี้สวยและเหมาะกับเรานะ เน็คไทเส้นนี้จะไปกับเสื้อเชิ๊ตตัวนี้ไหมหนอ ถ้ามีคนรับฟังเรา ก็จะรู้สึกอุ่นใจ ยิ่งวันไหนไปเจอเหตุการณ์ที่ผิดจากปกติ มีปัญหาเข้ามารุมเร้า กลับมาบ้านแล้ว ก็อยากมีคนคุยด้วย ระบายปัญหาให้ที่รุมเร้าใจออกไป สิ่งเหล่านี้เป็นแผนการณ์ของธรรมชาติที่ช่วยมนุษย์ระบายเจอรี่ออกจากใจของ เรา และพยายามบอกมนุษย์ว่า “สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว”

        ถ้าโลกนี้ไม่มีผู้ชาย ก็คงไม่มีอารยธรรมทางวัตถุ การประดิษฐ์คิดค้นและการสร้างสรรค์งานที่ยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ซึ่ง ๘๐ เปอร์เซนต์ล้วนเป็นผลงานของฝ่ายชาย ลองไปดูการสร้างตึกสูง ๆ นับร้อยชั้น สร้างสะพาน ทางรถไฟ อุโมงค์ใต้น้ำ ขุดเจาะน้ำมัน ล้วนต้องอาศัยแรงงานผู้ชายทั้งสิ้น แต่หากโลกนี้ไม่มีเพศแม่ มนุษย์ก็คงสูญพันธุ์ คงไม่มีมนุษย์เพศชายที่มาสร้างสรรค์อารยธรรมวัตถุเหล่านี้ คงไม่มีโลกมนุษย์

        การมีคู่ครองก็คือการมีเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง เพื่อนธรรมดาถึงจุดหนึ่ง ก็จำเป็นต้องแยกย้ายกันไป แต่เพื่อนที่ดีที่สุดจะอยู่กับเราและดูแลซึ่งกันและกันไปจนวันตาย หากเป็นคู่ที่มีคุณธรรมใกล้เคียงกันแล้ว ก็น่าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างปิปผลมานพและนางภัททา เป็นเรื่องที่คุยตกลงกันได้ แม้ไม่อยากมีลูก การมีคู่ครอง อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ชีวิตเงียบเหงาจนเกินไป เป็นเพื่อนดูแลซึ่งกันและกัน เท่ากับใช้ทรัพยากรของชีวิตที่พระธรรมชาติเจ้าประทานมาให้อย่างดีที่สุดใน ขณะที่ยังอยู่ในคุกชิวิต และช่วยกันประคับประคองเพื่อเดินทางไปนิพพานด้วยกัน

        ปัญหาเกิดเมื่อฝืนธรรมชาติ
        สังคมในอดีตมักไม่ต้องคิดมาก การแต่งงานมีครอบครัวเป็นวัฒนธรรมที่ล้วนยอมรับกัน ค่านิยมเรื่องไม่อยากแต่งงานมีลูกเพราะไม่อยากมีภาระรับผิดชอบนี่เพิ่งมา เปลี่ยนแปลงมากในยุค ๓๐ ปีให้หลังนี้ เกิดจากขบวนการ women’s liberation เพศหญิง เรียกร้องสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมฝ่ายชายมากขึ้น จนทำให้ฝ่ายหญิงมีบทบาททางสังคมมากขึ้น ออกมาหาเงินเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ ความคิดเรื่องไม่แต่งงานและพึ่งตัวเองจึงเริ่มระบาดจากสังคมตะวันตกก่อน เมื่อหญิงออกมาทำงานมาก การเลี้ยงลูกจึงต้องถูกผลักภาระให้แก่ผู้อื่น เช่น ปู่ยาตายาย คนรับใช้ หรือไม่ก็สถานรับเลี้ยงเด็กต่าง ๆ เพราะเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ปัญหาสังคมจึงตามมาอันเนื่องจากเด็กขาดความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ที่เอาแต่ ทำงานจนไม่มีเวลาให้ลูก

        นอกจากนั้น ความกดดันของระบอบเศรษฐกิจและปัญหาสังคม การดิ้นรนตะเกียกตะกายเพื่อเลี้ยงชีวิตตนเองให้รอดยังเป็นเรื่องยากอยู่ หญิงชายไม่น้อยจึงกลัว ไม่กล้าคิดเรื่องมารับภาระของการมีครอบครัวเพิ่ม ทำให้คนอยากแต่งงานมีน้อยลงในยุคนี้ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรงที่จะต้องส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวอยู่รอด ทำให้คู่แต่งงานที่มีลูกสามารถอยู่ได้ง่ายขึ้น โดยให้เสียภาษีน้อยลง อำนวยความสะดวกในเรื่องการให้แม่ได้ดูแลลูกเล็กของตน เป็นต้น เพราะถ้าสถาบันครอบครัวถูกส่งเสริมให้อยู่ได้ง่ายและประสบความสำเร็จแล้ว ปัญหาสังคมจะค่อย ๆ น้อยลงเอง

        เสี่ยงทั้งนั้น
        ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้พูดกับคนที่ยังอยู่ในโคตรปุถุชน แต่พูดกับคนที่ได้ข้ามพรมแดนมาอยุ่ในอริยโคตรแล้ว แต่ยังมีความทุกข์อยู่ จึงอยากให้เห็นภาพใหญ่ของชีวิตและเข้าใจธรรมชาติของโลกมนุษย์และความลึกซึ้ง ของมัน ต้องไม่มองชีวิตแบบตัดตอน แต่มองอย่างครบวงจร การพูดครั้งนี้จึงพยายามหาทางออกให้แก่คนที่อยู่ในแต่ละกลุ่ม ซึ่งต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าจะเลือกวิถีวิตแบบไหน ล้วนเป็นเรื่องของการเสี่ยงทั้งสิ้น เราอาจจะวางแผนสวยหรูไว้เช่นนี้ แต่ความเป็นจริงกลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะทุกอย่างเป็นอนิจจัง

        นอกจากนั้น ต้องยอมรับความจริงขั้นพื้นฐานว่า เรากำลังอยู่ในคุกชีวิตที่มีความทุกข์ ฉะนั้น ไม่ว่าใครจะเลือกวิถีชีวิตอะไรก็ตาม ล้วนต้องมีปัญหาและความทุกข์ที่แตกต่างกันทั้งสิ้น คนโสดก็ทุกข์อย่างคนโสด คนมีครอบครัวก็มีปัญหาและทุกข์อย่างคนมีครอบครัว สิ่งที่รับประกันได้ คือ ความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพราก ไม่ว่าจะจากกันไปไกล เช่น ลูกที่ต้องจากบ้านไปเรียนหรือทำงานไกล ๆ นาน ๆ จึงกลับบ้านมาดูหน้าพ่อแม่สักครั้งหนึ่ง หรือ การพลัดพรากเพราะความตาย ไม่ว่าใครจะเลือกวิถีชีวิตแบบไหน ล้วนต้องพบความพลัดพรากและต้องเป็นทุกข์ทั้งสิ้น ใครมีครอบครัว สิ่งที่หวังได้ดีที่สุดคือ ขอให้พ่อแม่ตายก่อนลูก ใครที่เป็นโสด อย่างน้อยก็ขอให้มีคนฝากผีฝากไข้ด้วย เมื่อความตายมาถึง ทั้งคนโสดและคนมีครอบครัวล้วนจากโลกนี้ไปมือเปล่าเท่าเทียมกันหมด

        สรุป
        ไม่ว่าจะเป็นโสดหรือมีครอบครัว เมื่อได้ข้ามพรมแดนมาสู่อริยโคตรแล้ว จับหลักเรื่องการพาตัวใจกลับบ้านได้แล้ว ทุกคนล้วนมีสิทธิ์เดินเข้าใกล้พระนิพพานและถึงพระนิพพานได้เท่าเทียมกันหมด ไม่มีกฏเกณฑ์บอกว่า คนโสดจะไปถึงนิพพานเร็วกว่าหรือช้ากว่าคนมีครอบครัว ใครที่ปฏิบัติถูกทาง ย่อมถึงพระนิพพานทั้งสิ้น
        หวังว่าบทความนี้จะสามารถตอบคำถามของผู้อ่านที่เขียนเข้ามาถามปัญหาของการมี ครอบครัว และหวังว่าทุกคนจะสามารถใช้สถานะของความเป็นมนุษย์ตลอดจนทรัพยากรชีวิต และธรรมชาติที่มีอยู่ในโลกมนุษย์ให้เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติเพื่อเดินเข้า ใกล้พระนิพพานให้มากขึ้น
*******
 รวมมิตรจาก http://www.supawangreen.in.th และ http://www.dhammajak.net

คืนดีรับปีใหม่

 คืนดีรับปีใหม่
พระไพศาล วิสาโล


       โทรศัพท์มือถือกำลังกลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของคนยุคนี้ไปแล้ว แต่คงไม่มีใครใช้อวัยวะส่วนนี้อย่างสมบุกสมบันเท่ากับหนุ่มเดนมาร์กผู้หนึ่ง ข่าวว่าชายผู้นี้ส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือวันละ ๒๑๗ ชิ้นโดยเฉลี่ย นั่นหมายความว่าเขาใช้โทรศัพท์มือถือทุก ๔-๕ นาทีตลอดเวลาที่ยังตื่นอยู่ รายงานข่าวไม่ได้กล่าวว่าชายผู้นี้ใช้โทรศัพท์เฉลี่ยกี่ครั้งขณะที่กำลังกิน ข้าวหรือระหว่างปลดทุกข์อยู่ในห้องน้ำ

        แต่ที่แน่ ๆ ก็คือชายผู้นี้สร้างสถิติดังกล่าวขณะกำลังรักษาตัวที่คลินิกแห่งหนึ่งเพื่อรักษาโรคติดการพนันและเสพติดอินเตอร์เน็ต

        ฟังข่าวนี้แล้วก็”ฟันธง”ได้เลยว่าชายผู้นี้ไม่ปกติแน่นอน เราอาจเดาต่อไปได้ด้วยว่าสาเหตุที่เขาใช้โทรศัพท์อย่างบ้าระห่ำก็เพื่อเป็น การทดเทิดที่ไม่ได้เล่นการพนันหรือใช้อินเตอร์เน็ตอย่างแต่ก่อน

        อย่างไรก็ตามถ้ามองให้ดีก็จะพบว่าพฤติกรรมของชายผู้นี้สะท้อนอะไรบางอย่างของคนสมัยนี้ด้วยไม่ใช่น้อย ใช่หรือไม่ว่าคนจำนวนไม่น้อยเวลานี้กำลังมีอาการเสพติดโทรศัพท์ (ไม่ว่าแบบมือถือหรือปกติ) ถ้าวันไหนไม่มีโทรศัพท์อยู่ใกล้ตัว จะรู้สึกกระสับกระส่าย หรือถึงกับ”ลงแดง”หากไม่ได้พูดโทรศัพท์กับใครเลยตลอดวัน ไม่ต้องดูอื่นไกล ผู้ที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตอาการลูกชายลูกสาวของตนดู หรือบางทีเราอาจมีอาการดังกล่าวอยู่บ้างแล้วก็ได้

        แต่ถึงแม้จะไม่เสพติดโทรศัพท์ ก็อย่าเพ่อตายใจ นั่นอาจเป็นเพราะเราติดอย่างอื่นแทนอยู่แล้วก็ได้ (เช่น โทรทัศน์ วีดีโอเกม ) หนุ่มเดนมาร์กที่ว่าหากยังมีโอกาสเล่นการพนันหรือท่องอินเตอร์เน็ตตามกิจวัตรเดิม ก็คงไม่หันไปใช้โทรศัพท์มือถืออย่างน่ากลัวถึงขนาดนั้น

มีเหตุผลมากมายที่ทำให้ผู้คนสมัยนี้เสพติดอะไรต่ออะไรไปคนละแบบ ถ้าจะจาระไน คงต้องอาศัยผู้รู้หลายสาขา แต่สาเหตุหนึ่งที่สำคัญก็คือ ผู้คนสมัยนี้ทนอยู่กับตัวเองไม่ค่อยได้ ถ้าให้อยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ คนเดียว ไม่นานจะรู้สึกระสับกระส่ายขึ้นมา ต้องเหลียวซ้ายแลขวาคว้าอะไรมาใส่ปาก หาไม่ก็เปิดโทรทัศน์ ฟังเพลง พูดโทรศัพท์ หรือง่วนกับอะไรก็ได้ ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่กับตัวเอง

        ถ้าถามว่าส่วนไหนของเราที่เราทนได้ยากที่สุด คำตอบคงไม่ใช่รูปร่างหน้าตา ยิ่งถ้าเป็นสาวสวยหนุ่มหล่อด้วยแล้ว กลับอยากจะพิศดูสารรูปของตนนาน ๆ ด้วยซ้ำ (แต่เดี๋ยวนี้ก็มีจำนวนไม่น้อยแล้วที่เป็นทุกข์เพราะรู้สึกว่ายังมีเสน่ห์ไม่พอ ถึงกับอดอาหารจนผอมแห้ง หาไม่ก็พาตนไปเป็นเหยื่อของคลินิกศัลยกรรม) ว่าไปแล้ว สิ่งที่เราทนได้ยากจริง ๆ ก็คือความคิดของเรานั่นเอง เราทนอยู่เฉย ๆ คนเดียวไม่ได้นานก็เพราะเรากลัวความฟุ้งซ่านของตัวเอง เมื่อใดที่อยู่นิ่ง ๆ คนเดียว ความคิดของเรานี่แหละที่จะคว้าอะไรต่ออะไรมาประดังประเดใส่หัวเราจนวุ่นวายไปหมด หาไม่ก็พาเราไปจมปลักอยู่กับเรื่องที่ชวนให้วิตกกังวล ทุกข์โศก คับแค้นใจ ทั้ง ๆ ที่ผ่านไปแล้ว หรือบ่อยครั้งก็ยังไม่ทันเกิดขึ้น แต่ปรุงแต่งไปล่วงหน้าเสียก่อน

        ความคิดของเราเองนี้แหละที่คอยหาเรื่องมารังควานตัวเราเอง สรรหาความทุกข์มาทิ่มแทงตัวเอง เอาความโกรธ เกลียด มาเผาลนจิตใจเราเองไม่หยุดหย่อน จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ น่าแปลกก็คือ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นความคิด ”ของเรา” แต่เรากลับคุมมันแทบไม่ได้ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า อีก ๑ นาทีต่อจากนี้ มันจะคิดอะไร นอกจากมันจะไม่อยู่ในโอวาทของเราแล้ว บ่อยครั้งมันกลับทะเลาะเบาะแว้งกับเรา สร้างความสับสนขัดแย้งภายในใจเรา เราทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ก็เพราะเรากลัวว่ามันจะอาละวาดใส่เรา เพราะเหตุนี้เราจึงต้องหาอะไรมาเสพมาบริโภค ทำอะไรก็ได้เพื่อให้ใจเรา”วุ่น” จะได้ไม่มีช่องให้มันมารบกวนเราได้ หาไม่ก็ต้องหาอะไรมาปรนเปรอมัน สุดแท้แต่มันจะชอบอะไร มันจะได้มาวุ่นวายกับเรา

       ทั้งหมดที่พูดมาดูราวกับว่าความคิดของเราช่างแย่เหลือเกิน ที่จริงความคิดของเราไม่ได้มีนิสัยเป็นอันธพาลเลย เขาน่าจะเป็นมิตรที่ประเสริฐของเราด้วยซ้ำ แต่อะไรทำให้เขาทำตัวเกเรอย่างนั้น ทารกทุกคนน่ารักทั้งนั้น แต่เหตุใดบางคนพอโตขึ้นกลับมีนิสัยก้าวร้าว หยาบกระด้าง เอาแต่ใจตัว ใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะพ่อแม่เลี้ยงดูไม่ถูกต้อง เอาแต่ทำมาหากินจนไม่มีเวลาใส่ใจลูก ฉันใดก็ฉันนั้น ความคิดหรือจิตของเราทำตัวเกเรจนเราไม่อยากอยู่ด้วย ก็เพราะเราละเลยทอดทิ้งเขานั่นเอง เราทำอะไรต่ออะไรมากมาย แต่แทบไม่มีเวลาให้กับจิตใจของเราเลย แม้เราจะเลี้ยงดูบ่มเพาะความคิดให้เติบใหญ่ มีกำลังและความรู้มากมาย แต่กลับไม่อบรมให้ถูกต้อง ผลจึงไม่ต่างจากพ่อแม่ที่ได้แต่สรรหาของดีของแพงมาให้ลูกกิน แต่ไม่ใส่ใจที่จะสั่งสอนลูก ลูกจึงโตแต่กาย หากจิตใจกลับอ่อนแอปวกเปียก

        ความคิดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเรา ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยได้ทำให้ความคิดจิตใจกลายเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง ดังนั้นจึงเท่ากับทำให้ตัวเองเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง ผลก็คือเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายจนหาความสงบไม่ได้ อยู่ว่าง ๆ คนเดียวเมื่อไร สงครามเป็นต้องเกิดขึ้นภายในใจ ด้วยเหตุนี้ใครต่อใครจึงชอบหนีตัวเอง คอยทำตัวไม่ให้ว่าง ถ้าไม่ทำงานซก ๆ ก็ดูโทรทัศน์เป็นชั่วโมง เที่ยวเตร่จนดึกดื่น คุยโทรศัพท์หรือสนทนาอินเตอร์เน็ตจนสายแทบจะไหม้ หนักกว่านั้นก็เข้าหายาเสพติดไปเลย วิธีเหล่านี้ยังให้ผลพลอยได้ประการหนึ่งคือ เป็นโอกาสที่จะหนีคนรอบข้างด้วย ทั้งนี้เพราะนับวันเราไม่เพียงแต่หมางเมินกับตัวเองเท่านั้น หากยังแปลกแยกกับคนรอบตัว ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่พี่น้องหรือคู่ครอง สงครามจึงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ภายในใจเท่านั้น หากยังมักเกิดขึ้นในความสัมพันธ์กับผู้อื่นรอบตัวด้วย ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้คนต้องหาทางออกด้วยการไปหมกมุ่นกับสิ่งอื่นแทน

        แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร เราก็ไม่มีวันที่จะหนีตัวเองได้ และไม่ว่าจะแสวงหาเท่าไร ก็ไม่มีวันพบใครที่จะเป็นมิตรอันประเสริฐไปกว่าตัวเองได้ จะไม่ดีกว่าหรือหากเราจะหันกลับมาเผชิญหน้าและผูกมิตรกับตัวเองสียที นี้เป็นวิธีเดียวที่จะสงบศึกภายในใจได้

        เรามาสงบศึกและสร้างสันติภายในใจเราด้วยการหันมาให้เวลากับชีวิตด้านในของตนเองดีไหม ความคิดจิตใจของเราถูกอัดแน่นด้วยข้อมูลข่าวสารมามากจนเต็มอิ่มแล้ว แต่กลับหิวโหยความสงบสุขและการผ่อนพัก ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการแสวงหาความสงบสุขมาหล่อเลี้ยงจิตใจของเรา ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ความคิดของเราได้พักผ่อนบ้าง การจัดสรรโอกาสเพื่อให้ความคิดจิตใจได้สงบนิ่งอย่างน้อย๑๐ นาทีต่อวันเป็นเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ของการทำสัญญาสงบศึกกับตัวเอง และถ้าต้องการสันติภาพที่ยั่งยืน เราต้องเต็มใจที่จะอุทิศเวลาและความเพียรให้มากขึ้นกว่านี้

        สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับสันติภาพที่แท้จริงก็คือเมตตาหรือความรัก นอกจากเวลาและความสงบแล้ว เราควรให้ความรักแก่ตนเองมาก ๆ ด้วย อย่ารังเกียจตนเองถึงแม้หน้าตาจะไม่สะสวย หุ่นไม่ผอมบาง หรือฉลาดสู้คนอื่นไม่ได้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือรู้จักแผ่เมตตาให้ตนเองเมื่อประสบกับเรื่องที่ไม่น่าพึงพอใจ แทนที่เราจะทำร้ายตัวเองด้วยการเอาความโกรธเกลียดมาเผาลนจิตใจ หรือเติมฟืนไฟให้มันพลุ่งพล่านรุนแรงขึ้น ไม่ดีกว่าหรือหากเราจะสงสารตัวเอง และนำเมตตาธรรมมาชโลมใจแทน

        แม้จะแผ่เมตตาให้แก่คนที่เบียดเบียนเราไม่ได้ อย่างน้อยก็น่าที่จะแผ่เมตตาให้แก่ตัวเองว่า ขอให้สงบเย็นเป็นสุขเถิด เพียงถูกเขากระทำแค่นี้เราก็ทุกข์พอแล้ว นี่เราจะมาซ้ำเติมตัวเองอีกหรือ ยิ่งเราโกรธเกลียดเขามากเท่าไร เราเองก็จะเป็นฝ่ายทุกข์มากเท่านั้น ใช่ว่าเขาจะทุกข์ร้อนไปด้วยก็หาไม่ ยิ่งเรารักตัวเอง เมตตาตัวเองมากเพียงใด ยิ่งจำต้องดับไฟแห่งความโกรธเกลียดให้เร็วเพียงนั้น ทั้งนี้ด้วยการถอนจิตออกไปจากเรื่องนั้น หรือเอาความคิดไปจดจ่อกับเรื่องอื่นที่สบายใจกว่าแทน และหากเรามีเมตตามากพอ ก็ควรแผ่ไปให้แก่ผู้ที่กระทบใจเราด้วย อย่างน้อยผลดีก็จะเกิดขึ้นแก่เราเองคือทำให้ใจเราสงบเย็นขึ้น ถ้าจะเมตตาตัวเองให้เป็น เราต้องรู้จักเมตตาผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็น”ศัตรู”ของเราด้วย

        สิ่งประเสริฐสุดอย่างหนึ่งที่เราสามารถทำได้ในชีวิตนี้ก็คือ การมอบความเป็นมิตรให้แก่ตนเอง นานมาแล้วที่เราเหินห่างหมางเมินกับตนเอง จนบางครั้งถึงกับเป็นปฏิปักษ์กัน ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือที่เราจะหันมาเป็นมิตรกับตนเอง เพื่อจะได้อยู่ร่วมกับตนเองอย่างสงบสันติเสียที

        ปีใหม่นี้เป็นโอกาสดีที่เราจะเริ่มต้นคืนดีกับตัวเอง ปีแล้วปีเล่าที่เราให้ของขวัญใครต่อใครมากมาย ไยปีนี้ไม่ลองมอบมิตรภาพให้แก่ตัวเองบ้าง แล้วอย่าลืมหันไปคืนดีกับคนรอบข้างด้วยล่ะ

         ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทำให้เราและคนรอบข้างมีความสุขเท่ากับของขวัญวิเศษอย่างนี้
*******
กิ่งธรรมจาก http://www.visalo.org

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปราสาทภูมิโปน

ปราสาทภูมิโปน

โดย เตีย ที่ดี

   
        ปราสาทภูมิโปน ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่แถบตำบลดม เมื่อพวกเราไปเที่ยวก็ได้สอบถามว่า ทำไมปราสาทบางหลังถึงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ บางหลังเสร็จสมบูรณ์แล้ว ผู้เท่าบอกว่า ปราสาทนั้นเขาแบ่งเป็น 2 ประเภท คือปราสาทหญิงและปราสาทชาย
       ที่เสร็จสมบูรณ์คือปราสาทหญิง  มิได้หมายความว่าผู้หญิงเก่งในการสร้างปราสาท แต่ประการใด ทั้งนี้ก็เพราะความสวยงามของเจ้าหญิงนั้นเอง แถมยังมี ด็อฮ  ทม เหล่าคนงานอยากใกล้ชิดความงาม จึงทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ช่วยก่อสร้างจนสำเร็จ ปราสาทภูมิโปน จึงได้ชื่ออีก ชื่อหนึ่งว่า ปราสาท เนียง  ด็อฮ  ทม  ก็บ่งบอกที่มาของปราสาทเป็นอย่างดี และชัยภูมิรอบปราสาทมีสระเล็กสระใหญ่ที่ใช้แรงงานขุดจำนวนมาก 
       

    
       ผู้เฒ่าผู้แก่ยังเล่าให้ฟังอีกว่า ในสมัยก่อนนั้น รอบปราสาทมีหิน มีรูปปั้น ทับหลัง มีรูปบูชาจำนวนมาก แต่ในปัจจุบันหายไปหมด ไม่รู้ใครเอาไปเพราะไม่มีใครดูแลรักษา
      ถ้าใครเอาไป กรุณาขอคืนด้วย สงสารเจ้าของคือ เนียง  ด็อฮ  ทม  


      และเมื่อเลยไปจากปราสาท เนียง  ด็อฮ  ทม  ไม่เท่าไร ก็จะเป็นทางที่สามารถไปถีงตลาด ช่องจอม ตลาดที่มีชื่ออยู่ในความรับผิดชอบ ของ อบจ.สุรินทร์ แต่เช่ื่อไหมครับ เอาเงินอย่างเดียว  สับสนอลมาน การพัฒนาแบบเซราะกราว ตลาดที่อยู่ในประเทศไทย แต่คนขายส่วนมาก เป็นชาวกัมพูชา คนไทยหรือครับเป็นเจ้าของแผงแล้วเอาไปให้คน เขมรเช่าต่อ บ่นแล้วก็สบายใจ ไปดีกว่า
      เราไปทำความรู้จัก ปราสาท เนียง  ด็อฮ  ทม กันครับ
      จากจังหวัดสุรินทร์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 2077 (สุรินทร์ - สังขะ) ระยะทาง 49 กิโลเมตร จากแยกอำเภอสังขะ เข้าทางหลวง หมายเลข 2124 (สังขะ - บัวเชด) ตรงต่อไป จนถึง ชุมชนบ้านภูมิโปน ระยะทางอีก 10 กิโลเมตร จะเห็นปราสาท ตั้งอยู่ริมถนน ด้านซ้ายมือปราสาทภูมิโปน ประกอบด้วย โบราณสถาน 4 หลัง คือ ปราสาทก่ออิฐ 3 หลัง และศิลาแลง 1 หลัง มีอายุการก่อสร้าง อย่างน้อย 2 สมัย ปราสาทก่ออิฐหลังใหญ่ และหลังทางทิศเหนือสุด นับเป็นปราสาท แบบศิลปะเขมร ที่มีอายุเก่าที่สุด ในประเทศไทย คือราวพุทธศตวรรษที่ 13ส่วนปราสาทอิฐหลังเล็ก ที่ตั้งตรงกลาง และปราสาทที่มีฐานศิลาแลง ด้านทิศใต้นั้น สร้างขึ้นในสมัยหลังปราสาทภูมิโปน คงจะสร้างขึ้น เป็นศาสนสถาน ในศาสนาฮินดู ไศวนิกาย เช่นเดียวกับศาสนสถานอื่นๆ ในรุ่นเดียวกัน แม้จะไม่พบ รูปเคารพ ซึ่งควรจะเป็นศิวลึงค์ อยู่ภายในองค์ปรางค์ แต่ที่ปรางค์องค์ใหญ่ยังมี ท่อโสมสูตร คือ ท่อน้ำมนต์ ที่ต่อออกมา จากแท่นฐานรูปเคารพ ในห้องกลาง ติดอยู่ที่ผนังในระดับพื้นห้อง
      ปราสาททั้ง 4 หลังนั้น มีปราสาท 1 หลังเท่านั้นที่เสร็จสมบูรณ์

          ตำนาน เนียง ด็อฮ ทม ราชธิดาขอมผู้ปกครองเมืองภูมิโปนองค์สุดท้าย เป็นตำนานของปราสาทภูมิโปน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ มีเรื่องเล่าว่า ที่สระลำเจียก ห่างจากตัวปราสาทไปทางทิศตะวันออกประมาณ 200 เมตร มีกลุ่มต้นลำเจียกขึ้นเป็นพุ่มๆ ต้นลำเจียกที่สระน้ำแห่งนี้ไม่เคยมีดอกเลย ในขณะที่ต้นอื่นๆนอกสระต่างก็มีดอกปกติ ความผิดปกติของต้นลำเจียกที่สระลำเจียกหน้าปราสาทจึงเป็นที่มาของตำนาน ปราสาทภูมิโปน การสร้างเมืองและการลี้ภัยของราชธิดาขอม 

          กษัตริย์ขอมองค์หนึ่งได้สร้างเมืองลับไว้กลางป่าใหญ่ชื่อว่าปราสาทภูมิโปน ต่อมาเมื่อเมืองหลวงเกิดความไม่สงบ มีข้าศึกมาประชิดเมือง กษัตริย์ขอมจึงส่งพระราชธิดาพร้อมไพร่พลจำนวนหนึ่งมาหลบซ่อนลี้ภัยที่ภูมิ โปน พระราชธิดานั้นมีพระนามว่า พระนางศรีจันทร์หรือ เนียง ด็อฮ (นม) ทม (ใหญ่) แต่คนทั่วไปมักเรียกนางว่า พระนางนมใหญ่

            กล่าวถึงเจ้าเมืองอีกเมืองหนึ่งได้ส่งพรานป่าเจ็ดคน พร้อมเสบียงกรังและช้าง 1 เชือก ออกล่าจับสัตว์ป่าเพื่อจะนำมาเลี้ยงในอุทยานของพระองค์ พรานป่ารอนแรมจนมาหยุดพักตั้งห้างล่าสัตว์อยู่ที่ ตระเบีย็ง เปรียน แปลว่าหนองน้ำของนายพราน ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของบ้านตาพรามในปัจจุบั ในที่สุดกลุ่มพรานสามในเจ็ดคน ก็ดั้นด้นจนไปพบปราสาทภูมิโปน และไปได้ยินกิตติศัพท์ความงามของพระนางศรีจันทร์เข้า พรานทั้งเจ็ดจึงได้ปลักลอบแอบดูพระนางศรีจันทร์สรงน้ำ และเห็นว่านางมีความงามสมคำร่ำลือจริง จึงรีบเดินทางกลับเพื่อไปรายงานพระราชา พระราชายินดีปรีดามากรีบจัดเตรียมกองทัพเพื่อไปรับนางมาเป็นพระชายาคู่ บารมี 

            ฝ่ายพระนางศรีจันทร์หลังจากวันที่ไปสรงน้ำก็เกิดลางสังหรณ์ กระสับกระส่ายว่ามีคนมาพบที่ซ่อนของนางแล้ว เมื่อบรรทมก็ฝันว่าได้ทำกระทงเสี่ยงทาย ใส่เส้นผมเจ็ดเส้น อันมีกลิ่นหอมเเละเขียนสาส์นใจความว่าใครเก็บกระทงของนางได้นางจะยอมเป็นคู่ ครอง ในกระทงยังให้ช่างเขียนรูปของนางใส่ลงไปด้วย เมื่อตื่นขึ้นมานางจึงได้จัดการทำตามความฝัน(ด้วยการที่นางเอาผมใส่ในผอบ เครื่องหอม ผมนางจึงหอม นางจึงได้ชื่อว่า เนียง ช็อก กระโอบ หรือนางผมหอมอีกชื่อหนึ่ง) และนำกระทงไปลอย ณ สระลำเจียกหน้าปราสาท กระทงของนางได้ลอยไปยังอีกเมืองหนึ่งชื่อว่าเมืองโฮลมาน และราชโอรสของเมืองนี้ได้เก็บกระทงของนางได้ 

            ทันทีที่เจ้าชายเปิดผอบก็หลงรักนางทันที เจ้าชายโอลมานนั้นมีรูปร่างไม่หล่อเหลา แต่มีฤทธานุภาพมากในเรื่องเวทย์มนต์คาถาและได้ชื่อว่ารักษาคำสัตย์เป็นที่ ตั้ง พระองค์จึงไปสู่ขอนางตามประเพณีเพราะเป็นผู้เก็บผอบได้ แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อพระนางศรีจันทร์ได้เห็นรูปร่างของเจ้าชายโฮลมานนางจึงได้แต่นิ่งอึ้ง และร้องไห้ เจ้าชายโฮลมานทรงเข้าพระทัยดีเพราะรู้ตัวว่าตัวเองมีรูปร่างอัปลักษณ์ แต่ด้วยความรักที่พระองค์มีต่อพระนางศรีจันทร์ พระองค์จึงไม่บังคับที่จะเอาตัวนางมาเป็นชายา กลับช่วยพระนางขุดสระสร้างกำแพงเมือง และสร้างกลองชัยเอาไว้ เพื่อให้พระนางตียามมีเหตุเดือดร้อนต้องการให้พระองค์ช่วยเหลือ พระองค์จะมาช่วยเหลือนางโดยทันที โดยห้ามตีด้วยเหตุไม่จำเป็นเป็นอันขาด 

            กล่าวถึงชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่มาหลงรักพระนางศรีจันทร์ นั่นคือ บุญจันทร์ นายทหารคนสนิทที่พระราชบิดาของพระนางศรีจันทร์ไว้วางพระราชหฤทัยให้รับใช้ ใกล้ชิดพระนางศรีจันทร์ ด้วยความใกล้ชิดทำให้บุญจันทร์หลงรักพระนางศรีจันทร์ แต่พระนางศรีจันทร์ก็ไม่ได้มีใจตอบกับบุญจันทร์ ยังคงคิดกับบุญจันทร์แค่เพื่อนสนิทเท่านั้น วันหนึ่งบุญจันทร์ได้เห็นกลองชัยที่เจ้าชายโฮลมานให้พระนางไว้ ก็นึกอยากตี จึงไปร่ำร้องกับพระนางทุกเช้าเย็น อยากจะขอลองตีกลอง พระนางทนไม่ไหวพูดประชดทำนองว่า ถ้าอยากตีก็ตีไป เพราะคงจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว บุญจันทร์หน้ามืดตามัวด้วยคิดว่านางมีใจให้เจ้าชายโฮลมาน ก็ไปตีกลอง เจ้าชายโฮลมานและไพร่พลก็ปรากฏตัวขึ้นทันทีเพราะนึกว่าพระนางศรีจันทร์มี เหตุร้าย พระนางศรีจันทร์เสียใจมากเมื่อต้องบอกถึงเหตุผลที่ตีกลองให้เจ้าชายทราบ เจ้าชายโฮลมานตำหนิพระนางและเป็นอันสิ้นสุดสัญญาที่ให้ไว้กับพระนางทันที พระองค์จะไม่มาช่วยเหลือพระนางอีกแล้วแม้จะตีกลองเท่าไหร่ก็ตาม 

            กล่าวฝ่ายพระราชาที่ส่งพรานป่าเจ็ดคน มาล่าสัตว์แล้วมาพบพระนางในตอนแรกนั้นก็ส่งทัพมาล้อมเมืองภูมิโปนไว้ พระนางจึงหนีเข้าไปหลบภัยในปราสาทเเละคิดที่จะยอมตายเสียดีกว่า เพราะคนที่มาหลงรักพระนางแต่ละคนนั้น คนหนึ่งแม้จะเพียบพร้อมก็มีความอัปลักษณ์ คนหนึ่งก็มีความต่างศักดิ์ ด้านชนชั้นจนไม่อาจจะรักกันได้ และยังมีข้าศึกมาประชิดเมืองหมายจะเอาพระนางไปเป็นชายาอีก พระนางจึงพยายามหลบไปด้านที่มีการยิงปืนใหญ่ตั้งใจจะโดนกระสุนให้ตาย แต่พระนางก็กลับไม่ตายแต่ได้รับบาดเจ็บ แขนซ้ายหักและมีแผลเหนือราวนมด้านซ้ายเล็กน้อย(ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านดม-ภูมิโปนจะสังเกตเด็กผู้หญิงคนใดมีลักษณะแขนด้านซ้ายเหมือนเคยหัก และมีแผลเป็นเหนือราวนมด้านซ้าย จะสันนิษฐานว่าพระนางด็อฮ ทม กลับชาติมาเกิด) 

            เมื่อพระราชาตีเข้าเมืองได้จึงรีบรักษานาง ไม่ช้าพระนางก็หาย พระราชาจึงเตรียมยกทัพกลับและจะนำพระนางกลับเมืองด้วย พระนางจึงขออนุญาตพระราชาเป็นครั้งสุดท้ายขอไปอาบน้ำที่สระลำเจียก และปลูกต้นลำเจียกไว้กอหนึ่งพร้อมกับอธิษฐานว่าถ้าพระนางยังไม่กลับมาที่นี่ ขอให้ต้นลำเจียกอย่าได้ออกดอกอีกเลย หลังจากนั้นพระนางก็ถูกนำสู่นครทางทิศตะวันตก ไปทางบ้านศรีจรูก พักทัพและฆ่าหมูกินที่นั่น (ซี จรูก แปลว่ากินหมู) ทัพหลังตามไปทันที่บ้านทัพทัน (ซึ่งกลายเป็นชื่อบ้านในปัจจุบัน) และเดินทางต่อมายังบ้านลำดวน พักนอนที่นั่น มีการเลี้ยงฉลองรำไปล้มไป รำล้มในภาษาเขมรคือ เรือ็ม ดูล ซึ่งเป็นชื่อของ อ.ลำดวนในปัจจุบัน 
       ดังนั้นคำว่าภูมิโปน จึงมีความหมายโดยรวมว่า หมู่บ้านแห่งการหลบซ่อน (ภูมิ แปลว่า หมู่บ้าน โปน แปลว่า หลบซ่อน อีกความหมายหนึ่งแปลว่า มะกอก)
*******
รวมมิตรจาก http://th.wikipedia.org/

 

 


วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อิ่มใจในความจริง

อิ่มใจในความจริง
  โดย พันธกุมภา

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

       หลายคนพูดถึงเรื่องการ "ปล่อยวาง" ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติธรรม เพราะหาไม่แล้วเราก็เป็นเพียงแค่ผู้เผชิญกับความสุขที่จิตใจเกิดขึ้นโดยที่ หลงยึดติดอย่างไม่ทันรู้ตัวทั่วถ้วน

       สิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำในที่นี้ก็คือ เรื่องการปล่อยวาง หรือ การวางเฉย ซึ่งคล้ายกับภาษาธรรมที่เรียกว่า "อุเบกขา" นี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่เราได้รู้กันมานั้นก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น ถือว่ามีด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การทำสมถะ และการทำวิปัสสนา

        เท่าที่รู้, การทำสมถะ คือ การทำให้จิตสงบ ทำให้จิตนิ่ง อยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์เดียว ซึ่งการปฏิบัติในสมถะกรรมฐานนี้จะช่วยให้ผู้ที่ปฏิบัติมีจิตที่ละเอียด และนิ่งแช่กับอารมณ์หนึ่งๆ โดยเหมาะแก่การพักจิต หรือการหยุดการคิดแล้วมาสงบจิตให้อยู่ในอารมณ์หนึ่งเดียวก่อน ซึ่งในวิถีนี้ สามารถทำได้หลายรูปแบบเช่น การนั่งสมาธิ ภาวนาพุท-โธ ดูพองยุบ เป็นต้น

       ส่วนการทำวิปัสสนานั้น เท่าที่ผมเข้าใจก็คือการดู การรู้ การเห็น ทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในกายและใจตามความเป็นจริงด้วยใจที่เป็นกลาง วางเฉย โดยการทำวิปัสสนาก็สามารถที่จะได้โดยการทำสมถะก่อน และค่อยเคลื่อนจิตไปสู่การทำวิปัสสนา หรือ จะทำวิปัสสนาโดยไม่ต้องทำสมถะก็ได้ หรืออีกอย่างคือทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป

        การ ทำวิปัสสนา สามารถ ดูได้ทั้งทางกาย เวทนา จิต ธรรม หรือสรุปย่อๆ ก็คือ "กาย" กับ "ใจ" เราดูกาย รู้กาย ผ่านลมหายใจ การเคลื่อนไหว การกระพริบตา กลืนน้ำลาย การเดิน ฯลฯ และส่วนใจนั้นก็ดูตรงที่ความคิด อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะสุข จะทุกข์ จะไม่สุขไม่ทุกข์ ดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห อารมณ์ต่างๆ เหล่านี้ เกิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อเชื่อขณะ ฉะนั้นการดูจิตนั้นก็คือการตามรู้อารมณ์ต่างๆ อย่างที่ปรากฏตามความเป็นจริง

        ทั้งนี้ที่ผมเกริ่นมาว่า 2 ส่วนนี้ต่างกันอย่างไรนั้น ก็เพราะว่า ต้องการชี้ให้เห็นว่าสมถะนั้นทำเพื่ออะไร และวิปัสสนานั้นทำเพื่ออะไร เพราะไม่เช่นนั้นแล้วบางคนอาจคิดว่าที่ตัวเองกำลังทำอยู่นั้นคือวิปัสสนา แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย แต่เป็นสมถะ ซึ่งผมคิดว่าจุดที่ต้องให้ความสำคัญมากหากเราปรารถนาที่จะพากายและใจไปสู่ การพ้นทุกข์อย่างแท้จริง นั้นคือคงต้องเรียนรู้ที่จะทำวิปัสสนาให้ถูกวิธี หรือ ทำอะไรก็ตามแต่รู้จุดมุ่งหมายว่าทำอะไร เพื่ออะไร จะได้ไม่หลงทาง สับสน และติดอยู่กับอะไรบางอย่าง

         อาการติดอยู่กับอะไรบางอย่าง ที่ผมเกิดกับผมตอนนี้คือ บ่อยครั้งเวลาที่ผมทุกข์ใจ โมโห หรือโกรธ ผมจะค่อยๆ รู้ไปทีละนิด จะรู้ได้บ่อยครั้งขึ้น ซึ่งการรู้ของผมก็คือรู้โดยไม่ใช้สมองคิด รู้ด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่ปรุงแต่งว่าไม่ชอบเพราะจะเกิดความโลภเพิ่มขึ้น แล้วเมื่อดูไปสักพักอารมณ์เหล่านี้ที่เกิดขึ้น ตั้งมา และก็ดับลงไปอย่างเห็นได้บ่อยครั้ง
        แต่ในอีกมุมเมื่อเกิดอารมณ์อิ่มใจ มีปีติเกิดขึ้น ผมมักจะอยากให้จิตเป็นแบบนี้บ่อยๆ เกิดอารมณ์แบบนี้บ่อยๆ แล้วก็ "ประคอง" มันไปเรื่อยเพราะไม่อยากให้ความทุกข์ใจเข้ามาเยือน ซึ่งพอทำแบบนี้แล้วมันก็ไม่ค่อยจะดีต่อจิตเรานัก เพราะเราไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงด้วยใจที่เป็นกลาง แต่ดันอยากบังคับจิตให้จิตอยู่ในอารมณ์สุขเช่นนี้เพียงอย่างเดียว
        วิธีการทำแบบข้างต้นนี้ ไม่ค่อยจะดีนัก ถ้ามัวหลงเพลินความความสุข ปีติ จนลืมอุเบกขา หรือการวางเฉย เพราะสุดท้ายแล้ว เราก็สร้างความโลภให้กับตัวเองไปเรื่อยๆ และสิ่งที่เราทำอยู่แทนที่จะเป็นวิปัสสนา แต่กลับการเป็นสมถะเพราะมัวแต่ไปเพ่งอยู่กับอารมณ์เดียวอย่างนี้

        ผมจำคำสอนของพระอาจารย์หลายท่าน ท่านกล่าวตรงๆ กันว่า การวิปัสสนานั้นต้องก้าวข้ามความเป็นตัวตน ว่านี่คือฉันของฉัน ต้องรู้ถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง เพราะเราทำวิปัสสนาเพื่อการเจริญสติตามความเป็นจริง ไม่ว่าจิตใจ ร่างกาย จะเป็นอย่างไร เรามีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือการตามรู้ ตามดู โดยไม่ปรุงแต่ง ไม่ต้องคิดอยากได้ความสงบ ความสมถะ อยากได้ฌาน อยากได้อภิญญา อยากบรรลุธรรม อยากได้นู้นนี่มากมาย

        ถ้าเรายังไม่สามารถก้าวข้ามความเป็นตัวตน หรือความไม่เที่ยง สัจธรรมอันแท้จริงในตัวเราก็ไม่เกิดขึ้น และการเกิดขึ้นนั้นใช่ว่าจะบังคับได้ ของแบบนี้ก็ต้องรอจังหวะ และเวลา ต้องดูพัฒนาการของการวางเฉย อุเบกขาได้มากน้อยเพียงใด และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับกายหรือใจ เราก็ทำเพียงอย่างเดียวคือ "รู้"

        "รู้" โดยไม่ใช้สมองคิด ไม่ปรุงแต่ง
        "รู้" โดยไม่กด ไม่เพ่ง ไม่จ้อง ไม่ประคอง ไม่หนี
        "รู้" โดยใจที่เป็นกลาง วางเฉย
        "รู้" แล้วปล่อยวาง ไม่ยึดติด


        สักว่า "รู้" เพียงตัวเดียว ทำไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเราจะเห็นและพบด้วยตัวเองว่าเพียง "รู้" ตัวเดียวนั้นช่วยทำให้เราเปลี่ยนแปลงและทำให้เราอิ่มใจในความเป็นจริงของกายและใจในทุกๆ ขณะอย่างไรบ้าง....
*******
รวมมิตร จาก http://www.thaingo.org

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ข้าวเป็นยาได้

ข้าวเป็นยาได้
องค์ความรู้ของชมรมหมอพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี 
 โดย พัชริน วิจิตรอลงกรณ์ และคณะ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

       พวกเรามักจะรู้จักข้าวในรูปของอาหาร แต่ใครจะรู้ว่าข้าวก็เป็นยาได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต แต่จริงๆ แล้วข้าวไม่ได้มีแค่คาร์โบไฮเดรต แต่ยังมีสารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์อีกมากในเมล็ดข้าวประกอบด้วยเปลือกข้าวหรือแกลบ (Rice Husk) 20 % รำข้าวหรือเยื่อสีน้ำตาลที่หุ้มเมล็ดข้าว (Rice Bran) 10 % และเมล็ดข้าว (Rice Kernel) ที่นำมารับประทานกัน 70 % จากกระบวนการผลิตรำข้าวจัดเป็นผลพลอยได้จากการขัดสีข้าว คนส่วนใหญ่มักจะบริโภคข้าวขัดขาวซึ่งก็จะได้แป้งและวิตามิน ถ้าบริโภคข้าวกล้องจะมีประโยชน์มากกว่าข้าวขัดขาวเพราะข้าวกล้องคือ ข้าวที่สีเอาเปลือก หรือแกลบออก ไม่ได้ขัดสีเอารำออก ข้าวกล้อง มีวิตามิน โปรตีน และเกลือแร่ต่างๆ รวมแล้ว มากกว่า 20 ชนิด แสดงว่า กินข้าวที่ด้อยคุณภาพกว่า ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงเท่าที่ควร และก็เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่เอารำข้าวไปให้สัตวก์ ิน สัตว์ก็เลยแข็งแรงแทนที่คนเราจะแข็งแรง (วารสารอภัยภูเบศรสาร)
       จากบทความของศ.นพ.วิจิตร บุณยะโหตระ ที่ได้เขียนลงนิตรสาร Fitness ได้รวบรวมข้อดีของการบริโภคข้าวกล้องไว้ สรุปคร่าวๆ ได้ดังนี้ ป้องกันโรคเหน็บชา เพราะข้าวกล้องมีวิตามินบีหนึ่งมากกว่าข้าวขาประมาณ 4 เท่า ป้องกันโรคปากนกกระจอก เพราะมีวิตามินบีสอง บรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปลายประสาทอักเสบ เพราะมีวิตามินบีรวม ดังนั้นท่านที่ไม่มีแรง ต้องการการบำรุง ก็ไม่ต้องไปหายาอื่นไกล รับประทานข้าวกล้องก็หาย ป้องกันโรคโลหิตจาง เพราะมีธาตุเหล็ก ช่วยในการเจริญของกระดูก เพราะมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส ป้องกันอาการท้องผูก ซึ่งการท้องผูกเป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะมีกากอาหารหรือที่เรียกว่า ไฟเบอร์สูงมาก นอกจากธาตุอาหารต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้นแล้วข้าวกล้องยังมีโปรตีนมากกว่าข้าวขัดขาวถึง20-30% และมีแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) น้อยกว่าข้าวขาวด้วย
       แต่โบราณมาข้าวเป็นยา มีให้กินทุกบ้านทุกฐานถิ่น กว่าจะมาเป็นข้าวให้เรากิน ชาวนาใช้กำลังเกือบทั้งปี ต้องทนแดดทนฝนทนลมหนาวกว่าจะได้ข้าวจากนามาถึงนี่ คนกินข้าวควรนึกดูให้ดี ข้าวนี้มีพระคุณต่อเราไม่เบาเลย จากคำกลอนของหลวงปู่ประสงค์ สุมมโน หลังจากที่ได้มีการประชุมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับข้าวที่นำมาเป็นยารักษาโรค และยังใช้ในชีวิตประจำวันนั้นมากมายเลยคณานับ แต่ที่ได้ระดมองค์ความรู้เรื่องข้าวเป็นยาจากหมอพื้นบ้าน ก็พบว่า ทุกส่วนของข้าวล้วนเป็นยาที่พ่อแม่สืบทอดสั่งสม ส่งต่อให้ลูกหลานได้ใช้ดูแลรักษาตนเองเมื่อยามเจ็บไข้ได้ป่วย ประโยชน์ของข้าวตั้งแต่รากถึงรวงนั้น หมอพื้นบ้าน 25 คนในชมรมหมอพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ต่างให้ความเห็นว่า ใน 14 ตำรับล้วนแล้วแต่ผ่านการใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของหมอทุกคนได้ใช้ข้าวในการนำมาสมานแผล แก้ปวด แก้ไอ แก้พิษ บำรุงกำลังร่างกาย ตลอดจนทำให้ชีวิตของทุกคนเติบโตสร้างสรรค์สังคมให้ดีให้งามสืบต่อกันมา
       ซึ่งสรรพคุณของข้าวในหนังสือที่ได้กล่าวไว้ในเภสัชกรรมไทยมีดังนี้คือ
       1. ข้าวงอก เป็นข้าวที่กำลังงอก รสหวาน แก้ไขร้อน แก้อ่อนเพลีย
       2. ข้าวสาร เป็นข้าวที่ กะเทาะเปลือกออก สมัยก่อนใช้ซ้อมมือ ไม่ขัดผิว รสมัน หอม
หวาน บำรุงร่างกาย แก้ตาฟาง แก้เหน็บชาแช่น้ำตำเป็นแห้งพอกแก้คุณผี คุณคน แก้บวม
แก้ปวด
        3. รวงข้าว,นมข้าว เป็นข้าวจากรวงที่ยังอ่อน เนื้อในเมล็ดเป็นน้ำ รสหวานมัน บำรุง กำลัง
บำรุงร่างกาย
       4. ข้าวเปลือก นิยมใช้ข้าวเปลือกใหม่ที่ยังมีละอองขาวติดอยู่ แก้กระษัย
       5. รากข้าว นิยมเก็บข้าวจากต้นที่สูงประมาณ 10 นิ้ว แก้ซางขโมย
       6. ซังข้าว คือ ตอของต้นข้างหลังการเก็บเกี่ยว ขับระดู
       7. ข้าวตัง คือ ข้าวที่แข็งติดก้นหม้อ พอกดูดหนองฝี แก้พิษบาดแผล แก้ไข
       8. ข้าวตาก คือ ข้าวที่หุงสุกแล้ว นำไปตากให้แห้ง เอามาคั่ว แก้โลหิต ขับระดู
       9. ข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียวดำกันยา ข้าวสารดำ เป็นข้าวเหนียวพันธุ์หนึ่ง ที่มีเมล็ดสีดำ แก้
โรคตา
       10. ข้าวสารค้างครก คือ ข้าวสารที่ตกลงข้างครกขณะตำข้าว แก้ซางเด็ก
       11. ข้าวติดเหน้าตะโพน คือ ข้าวที่สุกแล้ว นำมาผสมขี้เถ้า ติดหน้าตะโพน แก้ตกเลือด
       12. น้ำขาว นั้นมีรสหวานมันเย็น บำรุงร่างกาย แก้โรคตาฝ้าผาง ตาบอดกลางคืน แก้เหน็บชา
       13. น้ำซาวข้าว รสเย็น ถอนพิษผิดสำแดง แก้ร้อนในกระหายน้ำ


       โลกมีความต้องการข้าวความต้องการบริโภคของโลกประมาณ 417.7 ล้านตัน ประเทศไทยเป็น ประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลก ด้วยสัดส่วนการส่งออก ร้อยละ 36 รองลงมาคือ เวียดนาม ร้อยละ 20 อินเดีย ร้อยละ 18 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ14 ปากีสถาน ร้อยละ 12 ตามลำดับ
สถิติลำดับประเทศที่ผลิดข้าว
 ลำดับ  ประเทศ  จำนวน
(in Tsd. t)
 ลำดับ  ประเทศ  จำนวน
(in Tsd. t)
   1 ธงของสาธารณรัฐประชาชนจีน จีน    181.900    11 ธงของสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกา    10.126
   2 ธงของสาธารณรัฐอินเดีย อินเดีย    130.513    12 ธงของประเทศปากีสถาน ปากีสถาน    7.351
   3 ธงของประเทศอินโดนีเซีย อินโดนีเซีย    53.985    13 ธงของประเทศเกาหลีใต้ เกาหลีใต้    6.435
   4 ธงของประเทศบังกลาเทศ บังกลาเทศ    40.054    14 ธงของประเทศอียิปต์ อียิปต์    6.200
   5 ธงของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เวียดนาม    36.341    15 ธงของประเทศกัมพูชา กัมพูชา    4.200
   6 ธงชาติของไทย ไทย    27.000    16 ธงของสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เนปาล    4.100
   7 ธงของสหภาพเมียนมาร์ พม่า    24.500    17 ธงของประเทศไนจีเรีย ไนจีเรีย    3.542
   8 ธงของประเทศฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์    14.615    18 ธงของประเทศอิหร่าน อิหร่าน    3.500
   9 ธงของประเทศบราซิล บราซิล    13.141    19 ธงของสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ศรีลังกา    3.126
   10 ธงของประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่น    11.342     รวม 618.440
 จาก วิกิพีเดีย
ฟังเพลิงเปิบข้าว ของคาราวาน เราจะเห็นคุณค่าของข้าว
*******
รวงข้าวจาก http://www.ecovillager.org/

ลูกสมองดีด้วย นิทาน ที่แม่อ่านให้ฟัง

ลูกสมองดีด้วย นิทาน ที่แม่อ่านให้ฟัง

 จากนิตยสารMother & Care   

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
          ารอ่านนิทานเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่มีข้อมูลวิชาการยืนยันถึงข้อดีที่มีต่อตัวลูกน้อย ที่ยังไม่รู้ภาษาหรือจะนับย้อนไปตั้งแต่ในท้องก็ได้ ถ้าพ่อแม่ใช้หนังสือนิทานกับลูกอย่างสม่ำเสมอ และใช้อย่างถูกวิธี
          มาเตรียมพร้อมกับการใช้หนังสือเป็นสื่อกลาง เพื่ออ่าน เล่า และเล่นไปกับลูกน้อยด้วยวิธีง่าย ๆ และรับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของนิทานกันดีกว่า

           หนังสือดีต่อสมอง
           ขณะที่คุณอ่านนิทานให้ลูกฟัง จะช่วยสร้างความสุขให้ลูก ส่งผลต่อสภาวะอารมณ์ทางบวก และเมื่อลูกมีความสุข สมองก็ทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
           เมื่อลูกได้ฟังนิทานบ่อย ๆ จะช่วยให้ลูกจดจำคำศัพท์เร็วขึ้น เพราะเส้นใยประสาทในสมองที่เกี่ยวกับการจดจำ จะพัฒนาไปพร้อมกับความทรงจำ
           การสัมผัสหนังสือภาพผ่านการมองตั้งแต่ยังเล็ก เป็นการสร้างสุนทรียภาพและจินตนาการในตัวเด็ก เพราะมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของเด็กอย่างลึกซึ้ง
           เนื้อหาเรื่องราวจากหนังสือนิทาน เป็นเสมือนประสบการณ์การเรียนรู้ ที่บางครั้งเป็นเหมือนสิ่งส่งเสริมให้ลูกอยากรู้ อยากทำหรือเห็นถึงผลเสียของ

           หนังสือ ยังเป็นของเล่นชิ้นหนึ่ง ที่ช่วยให้ลูกสนุกและเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น สัมผัสผิวกาย ลูกน้อยจะค่อย ๆ ซึมซับรูปร่าง ท่าทาง และน้ำเสียงมีความรู้สึกร่วมไปกับการฟัง น้ำเสียงที่คุณพ่อคุณแม่เล่าก็สื่อสารไปถึงลูก และเมื่อเซลล์สมองได้รับข้อมูล มีการส่งผ่านข้อมูลไปยังสายใยประสาทรับข้อมูล โดยมีจุดเชื่อมต่อระหว่างกัน ข้อมูลที่มีส่งผ่านมาบ่อยๆ จะทำให้จุดเชื่อมใยประสาทมีความแข็งแรง และแตกตัวมากขึ้น เป็นการกระตุ้นพัฒนาการทางสมอง เป็นที่มาของคำตอบด้านความฉลาดของลูกตัวน้อย ๆ นั่นเองค่ะ

           เตรียมตัวก่่อน
           เตรียมอารมณ์ของคุณแม่ให้ผ่อนคลายมีความสุข และสนุกกับการได้อ่านได้เล่าให้ลูกฟัง
           สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อช่วงเวลาของครอบครัว เป็นเวลาที่พ่อแม่ได้อุ้มลูกนั่งตัก สื่อรักด้วยหนังสือ
           เลือก หนังสือที่เหมาะกับวัยของลูก และเตรียมน้ำเสียงที่อบอุ่น ชวนลูกดูและฟังก็ล้วนส่งผลทำให้เซลล์สมองของลูกทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ ผ่านการมองเห็น และได้ยิน นำไปสู่จินตนาการและความคิดที่สร้างสรรค์
           
           เริ่มเลย
           ชวนลูกฟังนิทาน ด้วยการออกเสียงเรียกความสนใจพร้อม ๆ กับอุ้มลูกนั่งตักแล้วเล่านิทานให้ลูกฟัง พูดคุยกับลูกถึงภาพที่เห็นในหนังสือนิทาน
           การใช้น้ำเสียง คำพูดที่สื่อความหมายให้เข้าใจง่าย ๆ และออกเสียงชัดเจน เช่น เสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ หรือใช้เสียงธรรมชาติของพ่อแม่เล่าเรื่อง ก็สามารถทำให้ลูกสนุกได้เหมือนกัน
           ส่งสายตาระหว่างที่คุณอ่านกับลูก เพื่อช่วยสื่อให้ลูกรักรู้ถึงความรัก ความอบอุ่น พร้อม ๆ ไปกับความสนุกและการเรียนรู้ที่ดีได้
           ท่าทางที่มีความสุข สนุกของคุณแม่ประกอบการเล่า เช่น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ โดยสัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง หรือมีอุปกรณ์ทำหุ่นมือหรือตุ๊กตาผ้าประกอบ ก็สามารถทำให้การเล่านิทานของคุณแม่มีสีสัน เติมจินตนาการของลูกได้มากขึ้น
           ควรสังเกตท่าทีของลูก ว่าต้องการฟังหรือต้องการทำกิจกรรมอื่น ๆ หรือไม่ เพราะไม่ควรฝืนอ่าน จนลูกรู้สึกหงุดหงิดไม่ประทับใจกับการฟังคุณเล่านิทานได้ค่ะ
           ถ้าอยากให้ลูกเกิดความเคยชิน ก็ต้องอ่านให้ฟังเป็นประจำ เท่าที่คุณและลูกน้อยสะดวก เช่น ช่วงเวลาก่อนนอน เป็นต้น เริ่มต้นอ่านได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งส่งผลดีต่อลูกน้อยค่ะ
           ถ้าลูกน้อยของคุณแทะกัดหรือฉีกหนังสือไปบ้าง ก็อย่าว่ากล่าวหรือถึงกับลงโทษลูก เพราะความสนใจของลูกเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กวัยเบบี๋ ดังนั้นควรเลือกหนังสือที่เหมาะกับวัยของลูก ทั้งเนื้อหา คุณภาพ รูปเล่ม และวัตถุดิบในการนำมาผลิต
           อ่านและ เล่านิทานอย่างสม่ำเสมอ เป็นประจำจนลูกเกิดความเคยชิน และรักหนังสือไม่เฉพาะนิทานแต่เป็นหนังสือความรู้ทั่วไป

           นอกจากนั้นยังเป็นการสร้างคุณธรรมและความดีให้เกิดขึ้นกับลูกสุดที่รักด้วย
*******
           ข้อมูลสุดมีค่าจากhttp://women.kapook.com

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อิทธิพลการคบเพื่อนในเด็ก

อิทธิพลการคบเพื่อนในเด็ก

      เด็กมักจะเลือกคบเพื่อนเพศเดียวกันมากกว่าเพื่อนต่างเพศ แต่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้น เด็กผู้หญิงมักจะเป็นฝ่ายเลือกคบเพื่อนต่างเพศก่อน
       ดร.Francois Poulin นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคิวเบค ในกรุงมอลทรีอัล ได้ทำการสัมภาษณ์เด็ก ๆกว่า 400 คนที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี ติดต่อกันเป็นเวลาเจ็ดปีเกี่ยวกับความสัมพันธ์กันเพื่อน รวมทั้งการดื่มแอลกอฮอล์และในยาเสพติด
       จากการศึกษานักวิจัยพบการเข้าสู่วัยรุ่น ภาวะต่อต้านสังคม รวมทั้งการคบเพื่อนต่างเพศ(โดยเฉพาะเพื่อนเพศชายที่อายุมากกว่า) เกิดขึ้นในกลุ่มเด็กผู้หญิงเร็วกว่าเด็กผู้ชาย
       และด้วยกฏหมายในแคนาดาอนุญาติให้เด็กดื่มแอลกอฮอล์ได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป ทำให้เด็กวัยรุ่นหญิงส่วนหนึ่งมักจะคบเพื่อนเพศชายอายุมากกว่าเพื่อให้ สามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้
       “การคบเพื่อนเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้น ๆ ที่ส่งผลต่อการใช้ยาเสพติดในเด็ก แต่ปัจจัยดังกล่าวกลับไปส่งผลต่อการข้องเกี่ยวกับยาเสพติดในเด็กผู้ชาย” นักวิจัยอธิบาย
       “เด็กผู้ชายให้ข้อมูลว่าพวกเขามักจะได้รับกำลังใจจากการคบเพื่อนต่างเพศ ในขณะที่เด็กผู้หญิงมักจะได้รับกำลังใจหรือแรงสนับสนุนจากเพื่อนเพศเดียวกัน จึงเป็นไปได้ว่า การคบเพื่อนต่างเพศของเด็กผู้ชายจะช่วยป้องกันไม่ให้พวกเขาข้องเกี่ยวกับ ปัญหายาเสพติดได้ เนื่อลจากพวกเขามักจะได้รับการส่งเสริมทางที่ดีจากเพื่อนเพศหญิง” นักวิจัยกล่าว
******
รวมมิตรจาก  http://healthy.in.th

 

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

4 ขวบยอดกตัญญู ที่สู้ชิวิต ดูแลพ่อพิการ-แม่อัมพาต ทำได้ไง

หนูน้อย 4 ขวบยอดกตัญญู! ตัวคนเดียว ดูแลพ่อพิการ-แม่อัมพาต 
*******
     
   
เด็ก 4 ขวบสามารถทำอะไรได้บ้าง? เชื่อว่าส่วนใหญ่คงซุกอยู่ภายใต้อ้อมกอดอันอบอุ่นที่พร้อมจะปกป้องดูแลของ พ่อแม่ ทว่าที่หมู่บ้านปาจยาจื่อ ในชนบทอันทุรกันดารห่างจากเมืองฮาร์บิน เมืองเอกของมณฑลเฮยหลงเจียงราว 100 กว่ากิโลเมตร มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุเพียง 4 ขวบ แต่กลับต้องอุทิศชีวิตดูแลทั้งพ่อและแม่ที่พิการ ผู้ที่รับรู้เรื่องราวของเธอล้วนพากันซาบซึ้งระคนรัดทดใจไปกับชะตากรรมของ เด็กน้อย
       สื่อจีนรายงานว่า หนูน้อยผู้นี้มีชื่อว่า "ซุนเย่ว์" เนื่องจากรับประทานแต่แป้งเปียกต้ม โจ๊กและผักดอง รูปร่างหน้าตาของหนูน้อยจึงค่อนข้างซูบเซียวเพราะขาดสารอาหาร วันที่ผู้สื่อข่าวจีนเดินทางไปพบ เธอสวมเสื้อนวมเก่า ขากางเกงสองข้างขาดปรุเผยให้เห็นกางเกงนวมกันหนาวด้านใน ส่วนรองเท้าก็เป็นรองเท้าแตะยางคู่เก่าของมารดาขณะที่ผู้สื่อข่าวจีนเดินทางไปถึงบ้าน หนูน้อยกำลังป้อนน้ำให้มารดาอย่างตั้งอกตั้งใจ มือน้อยๆ ที่ประคองถ้วยน้ำดูหยาบกร้าน อีกทั้งยังสั่นน้อยๆ ขณะที่มารดาดื่มน้ำลงไปทั้งน้ำตา ส่วน ซุน เย่ว์หมิน ผู้เป็นบิดาที่นั่งพิงอยู่อีกด้านหนึ่งของเตาผิงไฟก็ได้แต่มองภาพแม่ลูกด้วย สีหน้ารันทดอับจนหนทาง เมื่อหนูน้อยซุนเย่ว์หันมาเห็นผู้สื่อข่าวจีนที่เป็นคนแปลกหน้าก็รีบหลบเข้า ไปซุกอยู่ในอ้อมกอดแม่ตามวิสัยเด็ก เพียงแต่ส่งแววตาสงสัยจับจ้องมองมาเท่านั้น
      
       จาก การสำรวจภายในบ้าน พบว่าบ้านของหนูน้อยซุนเย่ว์ แท้จริงคือห้องเล็กๆ ตีจากไม้กระดานและดินโคลน ความกว้างสิบกว่าตารางเมตร ที่ผนังสี่ด้านแปะแผ่นพลาสติ
กขาดๆ เอาไว้เพื่อป้องกันความหนาวเย็น ทว่าภายในบ้านยังคงหนาวเหน็บอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีกระเบื้องมุงหลังคา 2-3 แผ่นถูกนำมาบังลมหนาวที่พัดผ่านทางประตู ขณะที่ชายคาบ้านมีถ่านกองหนึ่งที่ผู้ใจบุญเพิ่งนำมาบริจาคให้เมื่อ 2 วันก่อน บริเวณทำครัวมีมันฝรั่งอยู่ 2 ถุงซึ่งเป็นผักทั้งหมดที่ครอบครัวนี้มีไว้กินตลอดฤดูหนาว ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านประกอบด้วยโทรทัศน์เก่าๆ 1 เครื่องกับไฟฉายเท่านั้น ไร้ซึ่งตู้ โต๊ะ หรือเก้าอี้แม้แต่ตัวเดียว

       ซุน เย่ว์หมิน ปัจจุบันอายุ 46 ปี เล่าด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า เขาและ จานเจวียน ผู้เป็นภรรยาแต่งงานกับเมื่อปี พ.ศ. 2531 กระทั่งปีพ.ศ. 2537 จึงพากันไปรับจ้างหาปลาแถบลุ่มแม่น้ำอูซูหลี่ เนื่องด้วยภรรยาต้องการหาเงินให้ได้มากๆ จึงมักจะลงไปจับปลาท่ามกลางกระแสน้ำที่หนาวเย็นของฤดูหนาว จนกระทั่งเป็นโรคเหน็บชาขั้นรุนแรง ต่อมาปี พ.ศ.2542 ก็เกิดเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบตาม มา ทำให้ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ครอบครัวต้องเป็นหนี้นอกระบบราว 7-8 หมื่นหยวน(ราว 3.5-4 แสนบาท)เพื่อนำเงินมารักษาภรรยา สุดท้ายอาการของจานเจวียนดีขึ้นเล็กน้อย สามารถลุกขึ้นมาทำอาหารง่ายๆ ได้บ้าง
         ต่อมาภรรยาผมก็ตั้งครรภ์ แน่นอนเราทั้ง สองควรควรจะดีใจ แต่ผมกับภรรยาทุกข์หนัก ต้องการจะเอาเด็กออกเพราะกลัวไม่มีปัญญาเลี้ยง แต่หมอคัดค้านว่าการทำแท้งจะ
ยิ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายของจานเจวียน เมื่อไม่มีทางเลือก ภรรยาของผมจึงอุ้มท้องและคลอดซุนเย่ว์ออกมาเมื่อเดือนกันยายนของปี พ.ศ.2550" ซุน เย่ว์หมิน รำลึกความหลังให้ฟัง

       จากนั้นเพื่อให้บุ
ตรสาวมีชีวิตที่ดี ซุน เย่ว์หมินผู้เป็นพ่อจึงได้ตัดสินใจเข้าไปทำงานรับจ้างในเมือง "ตอนนั้นผมคิดว่าด้วยแรงกายของผม ปีๆ หนึ่งสามารถหาเงินได้สัก 3-5 หมื่นหยวน(ราว1.5-2.5 แสนบาท) พอรักษาภรรยาและส่งลูกสาวเข้าโรงเรียน" ซุน เย่ว์หมินกล่าว
      



       เดือนพฤษภาคมของปีนี้ ซุน เย่ว์หมินรับงานรับจ้างขุดบ่อเกรอะในมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ฮาร์บิน "เพื่อหาเงินให้มาก ผมไม่กลัวงานหนัก ไม่กลัวสกปรก งานอะไรก็ผมก็ทำได้" ทว่าโชคชะตาไม่เคยละเว้นให้ใคร เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม เกิดเหตุดินทรุดตัว ทำให้เขาพลัดตกลงไปในบ่อลึก 4 เมตร แพทย์แผนกศัลยกรรมทรวงอก โรงพยาบาลฮาร์บินต้องทำการผ่าตัดเปิดทรวงอก เนื่องจากอาการค่อนข้างสาหัส มีกระดูกหักหลายแห่ง หลอดเลือดหัวใจเสียหาย ซุน เย่ว์หมินนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลกว่า 20 วัน หมดเงินค่ารักษาไปถึง 1.6 แสนหยวน(ราว 8 แสนบาท) เขากลับบ้านด้วยร่างกายที่ไม่เหมือนเดิม ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับเงินชดเชยจากผู้รับเหมาเพียง 6 หมื่นหยวน(ราว 3 แสนบาท) เท่านั้น โดยซุน เย่ว์หมิน นำเงินจำนวนนั้นไปใช้หนี้สินที่ครอบครัวติดค้างอยู่ ซึ่งปัจจุบันยังคงเหลือหนี้ที่ยังใช้คืนไม่หมดอีกกว่า 1 หมื่นหยวน(ราว 5 หมื่นบาท)

       "เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกั
บผมในครั้งนี้ ทำให้ภรรยาผมกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างมาก จนร่างกายกลายเป็นอัมพาตโดยสิ้นเชิง เราสองคนกลายเป็นคนพิการ ไม่มีรายได้เข้าบ้าน คนในบ้านจึงมีกินแค่แป้งเปียกต้ม โจ๊กและผักดอง ไม่มีปัญญาซื้อยามากิน อย่างมากก็กินเมล็ดฟักทองซึ่งเป็นสูตรยาจีนเท่านั้น" ซุน เย่ว์หมินกล่าวด้วยความทอดอาลัย




       เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสองสามีภรรยา ทำให้ภาระหนักมาตกแก่ลูกสาวตัวน้อยที่ปีนี้เพิ่งจะอายุได้ 4 ขวบ หนูน้อยผู้นี้ต้องทำงานบ้านเองแทบทุกอย่าง ทั้ง ก่อไฟ หุงหาอาหาร ซักผ้า รวมทั้งป้อนข้าวป้อนน้ำ เช็ดอุจจาระปัสสาวะให้กับบุพการีที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ด้วยสองมือน้อยๆ ของเธอ ซุน เย่ว์หมินผู้พ่อเล่าว่า ครั้งหนึ่งขณะที่เขานั่งอยู่บนรถเข็นที่ผู้ใจบุญบริจาคมาให้ และกำลังช่วยลูกสาวตัวน้อยทำอาหารอยู่นั้น หนูน้อยซุนเย่ว์ไม่ทันระวังทำชามใส่โจ๊กร้อนๆ หกใส่ขาของผู้เป็นพ่อ จนตกใจร้องไห้โฮ ซุน เย่ว์หมินต้องกอดลูกสาวตัวน้อยเอาไว้และปลอบเธอทั้งน้ำตาเช่นกันว่า "ลูกรัก พ่อไม่โทษหนูหรอก ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะพ่อใช้การไม่ได้เอง"


       ซุน เย่ว์หมินเปิดเผยว่า หลายครั้งหลายหนที่เขาและภรรยาพยายามที่จะส่งบุตรสาวคนเดียวไปอยู่ที่อื่น ไปอยู่ในครอบครัวที่ดี เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ต้องมาจมปลักอยู่ในบ้านที่มีแต่คนพิการ ทว่าหนูน้อยซุนเย่ว์ไม่ยอมไป เธอมักจะกอดพ่อไว้แน่นด้วยน้้ำตานองหน้าพลางกล่าวว่า "หนูไม่ไปไหนทั้งนั้น ถ้าหนูไปอยู่ที่อื่นแล้วใครจะเลี้ยงพ่อกับแม่" จากนั้นหนูน้อยจึงเป็นโรคกลัวคนแปลกหน้า เพราะเกรงว่าจะมาเอาตัวเธอไปจากบ้านหลังนี้
      
       หลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่ เมื่อเด็กหญิงซุนเย่ว์เริ่มคุ้นเคยกับผู้สื่อข่าว จึงค่อยๆ คลายความกลัวและกลับมาสาละวนกับงานบ้านต่อไป บางทีก็หันไปหยอกเย้าเล่นกับ
สุนัขของเพื่อนบ้าน ซึ่งดูเหมือนจะมีเพียงเวลานี้เท่านั้น ที่ใบหน้าน้อยๆ เลอะเขม่าควัน เผยรอยยิ้มอันใสบริสุทธิ์ออกมา


******
ที่มา  http://www.tamdee-for-king.net  

          http://www.manager.co.th