วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การแพทย์แผนธิเบต : รักษากาย ดูแลใจ

 การแพทย์แผนธิเบต : รักษากาย  ดูแลใจ
เขียนโดย สุนิสา จำวิเศษ  

 
        ในสังคมปัจจุบันการใช้ชีวิตของเรามักแยกเรื่องทางกาย กับเรื่องทางใจออกจากกัน  เมื่อเราเพ่งไปที่เรื่องทางใจเราก็ลืมตัวในทางกาย  เมื่อเรามุ่งไปที่เรื่องทางกาย  เราก็ลืมระลึกถึงทางใจไปด้วย  ยกตัวอย่างมิติด้านสุขภาพ  เมื่อเรามีปัญหาสุขภาพทางกายเราก็ไปหาหมอที่โรงพยาบาล  เมื่อเรามีปัญหาทางใจเราก็ไปหาพระที่วัด  ไปหาเพื่อน  หรือความบันเทิงเริงใจที่จะทำให้เราลืมหรือคลี่คลายจากความทุกข์ใจนั้น  ซึ่งบางครั้งเราก็เลือกวิถีทางที่ทำให้เกิดปัญหาทางกายขึ้น  นี้เป็นลักษณะการแยกกายออกจากใจ  ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อเอ่ยถึงคำว่าสุขภาพนั้นโดยส่วนใหญ่เรานึกถึงเรื่อง ทางกายเท่านั้น
       ในแง่ของการเยียวยา เราตระหนักกันว่าการแพทย์สมัยใหม่นั้นมุ่งการเยียวยารักษาไปที่เรื่องทาง กาย  แม้มีเรื่องทางใจด้วยเขาก็แยกออกไปเป็นอีกสาขาหนึ่งต่างหาก ในแง่ของการรักษาทางกายนั้นก็มุ่งการรักษาเฉพาะอย่าง  เฉพาะทาง  การรักษาอย่างแยกส่วนของกายออกจากใจ  และการแยกร่างกายออกเป็นส่วนๆ เช่นนี้  ยิ่งทำไปก็อาจยิ่งก่อให้เกิดปัญหาทางใจแก่ผู้ป่วย  เพราะการรักษาได้บ่มเพาะความหวาดกลัวในใจของผู้ป่วย  คือ หวาดกลัวต่อความตายมากขึ้นเรื่อยๆ 
       วิธีการรักษาในการแพทย์สมัยใหม่ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด  การรับประทานยา  การต้องพบแพทย์เป็นประจำ  ทำให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกพึ่งพิงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทักษะความรู้เหล่านั้นผูกขาดอยู่ที่หมอเพียงผู้เดียว เมื่อบวกกับความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้ที่มักเป็นไปในเชิงอำนาจยิ่งไป กันใหญ่  คือ ใช้วิธีการสั่ง  ดุว่า  เมื่อคนป่วยไม่ทำตาม  เช่น  “คุณต้องทำอย่างนั้น ทำไมคุณไม่กินยาที่หมอสั่ง หมอบอกคุณแล้วคุณก็ไม่เชื่อ ” 
       ญาติมิตรโดยรอบก็ล้วนปฏิบัติต่อคนป่วยแบบเดียวกับหมอ ดุว่าให้ทำทุกอย่างที่หมอบอก กระทั่งท้ายที่สุดทั้งหมอ  คนป่วย  และญาติคนป่วยต่างก็บ่มเพาะความรู้สึกหวาดกลัวต่อความตายแก่กันและกันอย่าง ไม่รู้ตัว         
       แน่นอนว่าการหวาดกลัวต่อความตายเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์และสัตว์ทั้ง หลาย  แต่ความหวาดกลัวที่เกิดจากอำนาจและการพึ่งพิงที่ทำให้จิตใจอ่อนแอลงเรื่อยๆ นั้น  น่าสงสัยอยู่ว่าเราจะถือเป็นความสำเร็จในการรักษาได้หรือไม่  เมื่อความหวาดกลัวเติบโตเป็นมะเร็งในทางจิตใจ  หมอก็รักษาไม่ได้อีกต่อไป  ต้องไปให้พระที่วัดช่วย  ผู้ป่วยอาการหนักจำนวนมากต้องการพบพระ เข้าวัดทำบุญ  เพื่อช่วยลดความหวาดกลัวต่อความตาย  ซึ่งเป็นความเจ็บปวดลึกซึ้งในทางจิตวิญญาณ  แต่มันอาจไม่ทันการเสียแล้ว
       ฉะนั้น  เราทั้งหลายจึงพึงใช้สัญชาตญาณความกลัวตายกันเสียแต่เนิ่นๆ  ในการแสวงหาการแพทย์ที่รักษากายโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางใจ  การแพทย์ที่มีโลกทัศน์องค์รวมระหว่างกายกับใจ  การแพทย์ที่แพทย์ไม่ใช้อำนาจแต่ใช้ความรักความเมตตาต่อเรา  เป็นได้ทั้งหมอ พระ และเพื่อนให้เราในเวลาเดียวกัน 
       ที่ว่ามานั้น  เราพบได้ใน...การแพทย์แผนธิเบต 
       การแพทย์แผนธิเบต  เป็นศาสตร์การแพทย์ที่มีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนา  โดยอธิบายว่าชีวิตนั้นประกอบด้วยตรีธาตุ  ได้แก่วาตะ(ลม) ปิตะ(ไฟ) และกผะ(ดิน/น้ำ)  อันเป็นธาตุพื้นฐานที่ประกอบกันเข้าและทำหน้าที่ต่างๆ ให้ชีวิตดำรงอยู่ได้  โรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นจากการที่ธาตุทั้งสามนั้นแปรปรวนไม่อยู่ในภาวะสมดุล  ขาดพร่องหรือกำเริบ สาเหตุของการที่ธาตุทั้งสามแปรปรวนไปไม่สมดุลเกิดจากลักษณะการใช้ชีวิต  การกินอยู่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาเหตุสำคัญคือ อวิชชา  คือ โลภ โกรธ  หลง  นั่นเอง  โดยธาตุวาตะจะถูกกระตุ้นโดยความโลภ  ธาตุปิตะถูกกระตุ้นโดยความโกรธ และธาตุกผะถูกกระตุ้นโดยความหลง 
       นอกจากนี้แล้ว  การแพทย์แผนธิเบตยังกล่าวถึงสาเหตุของโรคภัยบางชนิดที่ไม่ได้เกิดจากการใช้ ชีวิตในปัจจุบันแต่เกิดจากกรรมเก่า  ลักษณะของโรคภัยเช่นนี้คือ ยากแก่การรักษา  การเยียวยารักษาทางการแพทย์อย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับการเจ็บป่วยอันเกิด จากกรรมเก่านี้ 
       ในแง่ของการตรวจรักษาแพทย์ใช้วิธีการสังเกตดูลักษณะทางกายภาพโดยทั่วไป ของคนไข้  เช่นเลือด  เล็บ  ลิ้น  เสมหะ  ปัสสาวะ  อุจาระ ตา  สีผิว เป็นต้น และตรวจชีพจรด้วยปลายนิ้วมือซึ่งลักษณะที่พบจะบ่งบอกถึงความแปรปรวนของธาตุ พื้นฐาน ที่ชี้ไปยังความเจ็บป่วย ณ จุดใดๆ ของร่างกาย  รวมทั้งการซักถามเรื่องการกินอยู่และการใช้ชีวิตก็จะได้ข้อมูลการวินิจฉัย ที่ชัดเจนขึ้น 
       หลังจากการตรวจจนพบความแปรปรวนของธาตุแล้วแพทย์จะแนะนำผู้รับการรักษา ให้ปรับเรื่องการกินอาหารเพื่อปรับธาตุให้เข้าสู่สภาวะสมดุลมากขึ้น  คือ  ถ้าธาตุชนิดใดพร่องก็ควรทานอาหารที่มีธาตุชนิดนั้นประกอบอยู่เป็นหลักเพื่อ เสริมธาตุให้มากขึ้น  หากธาตุชนิดใดมีมากเกินไป  ก็ให้ทานอาหารที่มีธาตุตรงข้ามเพื่อคุณสมบัติในการต้านและปรับสมดุล  หมอในการแพทย์แผนธิเบตจึงเป็นผู้มีความรู้ในเรื่องธาตุที่มีอยู่ในอาหารชนิด ต่างๆ เพื่อการแนะนำคนรับการรักษาด้วย
       นอกจากการรักษาโดยการกินอาหารบางชนิดเพื่อเพิ่มหรือปรับลดธาตุให้สมดุล แล้ว  การรักษาในการแพทย์แผนธิเบตยังรวมถึงการปรับวิถีชีวิตเช่นการพักผ่อน  การผ่อนคลาย  การทานยาพิเศษบางชนิดสำหรับบางกรณี  ซึ่งเป็นยาสมุนไพร โดยยาบางชนิดจะต้องมีวิธีการรับประทานเป็นพิเศษจึงจะได้ผล  เช่น  รับประทานในวันพระจันทร์เต็มดวง  และมีการสวดมนต์ทำสมาธิร่วมด้วย  นอกจากนั้นยังมีการฝังเข็ม  การอาบน้ำพุธรรมชาติเป็นต้น  และแน่นอนว่าหมอชาวธิเบตจะแนะนำคนไข้ให้ลดตัวโลภ  โกรธ  หลงในชีวิตลงด้วย  หากต้องการมีชีวิตยาวนานก็ต้องฝึกลดละสิ่งเหล่านี้ลงไป 
       สำหรับโรคภัยบางชนิดที่อาจเป็นผลมาจากกรรมเก่านั้น  วิธีการเยียวยารักษาคือการสวดมนต์  ปฏิบัติธรรม  ทำบุญแผ่ส่วนกุศล เป็นต้น
       ด้วยวิถีการแพทย์แผนธิเบตที่มีพื้นฐานจากจิตวิญญาณพุทธศาสนา  แพทย์ผู้จะทำการรักษาจึงไม่เพียงต้องศึกษาด้านทักษะการรักษาเท่านั้นหากยัง ถูกบ่มเพาะฝึกฝนในทางจิตวิญาณด้วย  คือให้เห็นคนไข้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์  หมอพึงรักษาด้วยความรักความเมตตา ความปรารถนาให้เพื่อนร่วมทุกข์ได้พ้นจากทุกข์  ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์ผู้รักษากับผู้รับการรักษาจึงมีความอ่อนโยนเข้าอก เข้าใจ และแพทย์ผู้ให้การรักษายังไม่ได้มุ่งเพียงการรักษาทางกายเท่านั้น  แต่ยังอาจใช้การรักษาเยียวยาร่างกายนี้เป็นฐานสะท้อนลึกลงไปถึงชีวิตส่วนลึก ของผู้รับการรักษา  อาจารย์แพทย์ชาวธิเบตบางคนจึงมักตั้งคำถามผู้รับการรักษาไปด้วยว่า  “ทำไมเราถึงต้องการมีสุขภาพแข็งแรงและชีวิตยืนยาว”  อันเป็นคำถามที่ทำให้ผู้ป่วยได้นึกย้อนลึกลงไปถึงโลกทัศน์  ชีวทัศน์ของตนว่า  เป้าหมายของชีวิตคืออะไร
       ในการแพทย์แผนธิเบต  ทั้งแพทย์และผู้รับการรักษาจึงเปรียบเหมือนกัลยาณมิตรที่เดินจูงมือกันใน เส้นทางของสุขภาวะทั้งทางกายและทางจิตวิญญาณ  การรักษาสุขภาพกายเป็นไปพร้อมๆ กับการบ่มเพาะความเข้าใจในชีวิต  คือปัญญา  อันเป็นตัวยาที่กำจัด  อวิชชา ที่เป็นสาเหตุของโรคทั้งหลายกายและใจนั้นเอง 
*******
ขอบคุณ http://www.snf.or.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น